ลาก่อนรัฐธรรมนูญ

ศรีบูรพา เขียน

[To read “So Long, Constitution” with an introduction in English, click here.]

พิมพ์ครั้งแรก ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ ในหนังสือวรรณกรรมรายปี เทอดรัฐธรรมนูญ


อุทิศแด่วีรชน ๑๗ นาย ซึ่งได้เสียสละชีวิตเลือดเนื้อเพื่อความสันติสุขของประชาชาติไทย

เมื่อเสียงปืนดังขึ้นนัดแรกในวันที่ ๑๒ ตุลาคม นายสมศักดิ์ เด่นชัย ไม่สามารถจะทนอยู่ในที่ทำงานต่อไปได้ เขาขับเจ้ามอริสตอนเดียว ซึ่งมีเครื่องและส่วนอื่นๆดังกราวเมื่อเวลาเร่งน้ำมันเต็มที่ แล่นบึ่งไปตามถนนในพระมหานคร ขณะที่มีเสียงปืนดังขึ้นอีกสองสามปัง รถของเขากำลังวิ่งอยู่บนถนนที่ไม่เรียบร้อยสายหนึ่ง เขาได้พบชาวบ้านแถบนั้น อยู่ในอาการแตกตื่นวุ่นวาย ชิงกันวิ่งเข้าบ้าน เก็บข้าวของปิดประตูหน้าต่าง ลงกลอน!

เจ้าหนุ่มน้อยของเรา ห้ามล้อรถดังครืดตรงที่หน้าห้องแถวสัปรังเคหลังหนึ่ง ซึ่งผู้หญิงคนหนึ่งกำลังร้องโวยวาย เรียกลูกให้เข้าบ้าน และตัวเองเตรียมปิดประตู นายสมศักดิ์กระโดดลงจากรถ เดินอย่างเร็วไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้อง ร้องบอกว่า “ตกใจอะไรกันใหญ่โต, แม่คุณ ไม่มีภัยอะไรดอก”

“อย่ามาหลอกฉันหน่อยเลยย่ะ เสียงปืนออกปังๆเมื่อตะกี้น่ะ พ่อไม่ได้ยินดอกหรือ? เขายิงกันอยู่ที่ถนนราชดำเนิน และประเดี๋ยวก็คงจะมาถึงนี่”

พูดแล้วหญิงผู้นั้นก็ผลักเจ้าหนุ่มน้อยออกมานอกประตู และปิดประตูทันที สมศักดิ์บ่นพึมพำว่า “เจ้าพวกโง่ดักดานพรรค์นี้ ช่วยไม่ได้” เขาได้ขับรถมาเป็นเวลาราว ๑ ชั่วโมงแล้ว โดยไม่ได้หยุดพักเลย เขารู้สึกเหนื่อยและกระหายน้ำ เขาจึงแวะเข้าไป ในร้านเหล้าแห่งหนึ่ง

ในร้านนั้น มีท่านสุภาพบุรุษนั่งจับกลุ่มอยู่ตามโต๊ะเต็มไปหมด สมศักดิ์ไม่รู้จักใครเลยในที่นั้น เขาจึงเรียกวิสกี้มายืนดื่มอยู่คนเดียว ท่านสุภาพบุรุษเหล่านั้นคุยกันเสียงโขมง ถกกันถึงเรื่อง การจลาจล การกบฏ และการรบที่กำลังทำกันอยู่ที่บางเขน ความเห็นตามกลุ่มต่างๆเป็นอันลงรอยกันได้หมด เว้นแต่ที่โต๊ะเดียวซึ่งมีข้าราชสำนัก ๓ นายและนายทหารผู้หนึ่งกำลังนั่งเสพสุราร่วมโต๊ะกันอยู่ ดูเหมือนจะมีความเห็นขัดกันอย่างรุนแรง

“อ้ายพวกกบฏ!” เสียงนายทหารผู้นั้นคำราม พร้อมกับยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม “ผมเสียดายเหลือเกิน ที่ยังไม่ถูกเรียกตัวให้ไปกับกองทหาร ถ้าผมได้มีโอกาสไปเมื่อใด ผมจะไม่กลับมาเลย จนกว่าจะได้ล้างชีวิตเจ้าหัวหน้ากบฏได้แล้ว”

สีหน้าของข้าราชสำนักผู้ใหญ่ในที่นั้นคนหนึ่ง แสดงว่าไม่มีความพอใจอย่างยิ่ง

เขาได้กล่าวคำโต้ตอบว่า “เดี๋ยวนี้ยังไม่ใช่เวลาที่คุณจะเรียกฝ่ายพระองค์เจ้าบวรเดชว่าอ้ายพวกกบฏ การแพ้และชนะเท่านั้นจะตัดสินได้ว่า ใครเป็นฝ่ายกบฏ”

พอขาดคำของท่านข้าราชสำนักผู้นั้นและยังมิทันที่นายทหารคู่โต้วาทีจะได้กล่าวคำโต้ตอบ สมศักดิ์ก็ปราดไปถึงโต๊ะและเผชิญหน้ากับท่านผู้พูดอย่างองอาจ

“อ้ายพวกกบฏ!” เขาร้องเสียงดัง “ทำไมจึงยังไม่ถึงเวลา ที่จะเรียกฝ่ายเจ้าบวรเดชว่าอ้ายพวกกบฏ เจ้าบวรเดชกบฏต่อรัฐบาล กบฏต่อรัฐธรรมนูญ กบฏต่อมติมหาชน นี่ยังจะเรียกว่ากบฏไม่ได้อีกหรือ, คุณ? ผมขอให้คุณระวังคำพูดของคุณให้ดีๆหน่อย”

ท่านข้าราชสำนักต้องนิ่งไปเป็นครู่และคนอื่นๆในที่นั้นก็พุ่งสายตามาจับอยู่ที่เจ้าหนุ่มน้อยเป็นจุดเดียวกัน ท่านข้าราชสำนักผู้ภาคภูมิ มีความเคียดแค้นมาก แสดงความหยิ่งและถือตัวอย่างออกหน้า

เขาพูดอย่างคนดูหมิ่นว่า “ถ้าแกเมา ขอให้แกไปเสียที่อื่น ที่นี่เป็นที่ซึ่งผู้ดีเขาจะกินเหล้ากัน”

สมศักดิ์รู้สึกราวกับว่า ในเวลานั้นเขากำลังอยู่หน้ากองไฟ ซึ่งทำให้หน้าของเขาร้อนผ่าวขึ้นมาทันที ในเวลาที่ได้รับการดูหมิ่น สมศักดิ์ไม่คิดถึงอะไรหมด นอกจากว่าเขาจะต้องได้รับการใช้หนี้เท่านั้น

เจ้าหนุ่มน้อยยกแก้วเหล้าซึ่งถืออยู่ในมือ สาดโครมไปที่หน้าทานข้าราชสำนักผู้นั้นพร้อมกับตะโกนด่าออกไปว่า “อ้ายผู้ดีกบฏ” แล้วเขาเหลียวไปรอบๆเพื่อสบตาบรรดาท่านสุภาพบุรุษในที่นั้น “ใครอีกเล่าที่เป็นฝ่ายอ้ายผู้ดีคนนี้”

แทบทุกคนในที่นั้น ต่างพากันยิ้มให้เขาและมองดูเขาด้วยสายตาแสดงไมตรีจิตร

ในเวลาเดียวกันนั้น ท่านข้าราชสำนักได้กระโดดมาถึงตัวเขา ยกมือข้างหนึ่งจับคอเสื้อของเขาไว้มั่น แต่ก่อนที่เขาจะชกสมศักดิ์ด้วยมืออีกข้างหนึ่ง นายทหารที่อยู่โต๊ะเดียวกันได้ถลันเข้ามาขวางเสีย แล้วคนอื่นๆก็เข้ามาล้อมอยู่รอบตัวเจ้าหนุ่มและฉุดเขาออกไปข้างนอก และพากันแสดงความยินดีในความองอาจกล้าหาญของเขา

สมศักดิ์จากร้านเหล้ามาด้วยหัวใจอันเดือดพล่าน เขามุ่งขับรถตรงไปยังบางซื่อและพยายามเข้าไปให้ใกล้กองทหารของรัฐบาลที่สุดที่เขาสามารถจะไปได้ สมศักดิ์เองก็ตอบไม่ได้ว่า เขาจะต้องการเข้าไปทำไม รถบรรทุกทหารที่วิ่งผ่านเขาไป เสียงดังกึกก้อง ทำให้เขาต้องมองดูด้วยความเลื่อมใส คนพวกนี้ต่างพากันออกไปสู่ยุทธบริเวณเพื่อปราบกบฏอธรรม ก็ตัวเขาเล่า ไม่สมควรจะทำหน้าที่เช่นนี้บ้างดอกหรือ?

สมศักดิ์กลับมาบ้านในวันนั้น ก็ฝันเห็นแต่เหล่าทหารซึ่งมีดวงหน้าอิ่มเอิบภาคภูมิที่ได้มีโอกาสนำชีวิตและเลือดเนื้อไปต่อต้านกับศาสตราวุธของฝ่ายกบฏอธรรมเพื่อความสันติสุขของอาณาประชาราษฎรทั้งประเทศ เพื่อรัฐธรรมนูญอันเป็นมิ่งขวัญของประชาชาติสยาม

เลือดหนุ่มซึ่งร้อนระอุด้วยความรักและความเสียสละเพื่อประเทศชาติ ทำให้เขามีความกระวนกระวายในใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อรับประทานอาหารเย็นด้วยกันกับฤดีภรรยายอดรักนั้น ฤดีได้ถามขึ้นว่า “ดิฉันดูเธอหน้านิ่วคิ้วขมวดมา ๒ วันแล้ว ใครทำ อะไรขัดใจเธอหรือคะ, ศักดิ์?”

“เรียบร้อยทุกอย่างสำหรับฉัน” เขาตอบสั้นๆ พลางก็รับประทานอาหารต่อไปอย่างไม่รู้สึกรสชาติเลย

สมศักดิ์อิ่มเร็วกว่าปกติมาก เขาสูบบุหรี่ทันทีโดยไม่ยอมรับประทานของหวานและสักครู่เขาขอบรั่นดี

“เธอแปลกไปมากทีเดียว, ศักดิ์” ภรรยาของเขาจับคางของสามีให้เงยหน้าขึ้นและมองดูหน้าเขาด้วยสายตาแสดงความวิงวอน “เธอต้องมีทุกข์ร้อนอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแน่ละค่ะ”

“ในส่วนตัวฉันเรียบร้อยจริงๆนะฤดี” เขารับแก้วบรั่นดีจากภรรยามาดื่มและยิ้มให้หล่อนนิดหน่อยเป็นการปลอบใจ “แต่ทว่าเธอก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือว่า ในเวลานี้ประเทศของเรากำลังมีทุกข์ กำลังถูกประทุษร้าย กำลังได้รับความเจ็บปวด และฉันผู้เป็นพลประเทศที่ยังหนุ่มแน่นยังอยู่ในวัยฉกรรจ์คนหนึ่ง จะไม่พลอยได้รับความทุกข์ความเจ็บปวดด้วยได้อย่างไร”

ภรรยาถามต่อไปว่า “เธอหมายถึงเรื่องรบราฆ่าฟันจลาจลกันนี่น่ะหรือ?”

“ฉันหมายถึงเรื่องนี้แหละ เรื่องกบฏอธรรม เรื่องมหาโจรปล้นทำลายสันติสุขของประเทศ” เขาจับไหล่ทั้งสองของภรรยาไว้แน่น “ฉันขอบอกตามตรงว่าฉันไม่มีความสุขเลยยอดรัก จนกว่าฉันจะได้จับอาวุธไปต่อสู้กับเจ้าพวกมหาโจรเหล่านั้นอย่างลูกผู้ชายใจทหารทั้งหลาย”

ฤดีเอามือโอบคอเขาไว้ และปลอบว่า “เธอละเก่งเสมอ การจับอาวุธไม่ใช่หน้าที่ของเธอเลย เป็นหน้าที่ของทหารเขาต่างหาก และทหารก็ทำหน้าที่ของเขาอย่างดีแล้วไม่ใช่หรือคะ”

“เปล่า, ฤดีอย่าเข้าใจผิด ในเวลาที่ประเทศได้รับการประทุษร้ายเช่นนี้ พลเมืองทุกคนจะต้องเจ็บร้อนทั่วกันหมด ไม่ใช่แต่เพียงทหารเท่านั้น ฉันทั้งหนุ่มแน่นและแข็งแรง ถ้าฉันมีเครื่องแบบทหารสักชุดหนึ่ง และปืนสักกระบอกหนึ่ง ฤดีคิดหรือว่าฉันจะทำการอย่างกล้าหาญเช่นนั้นไม่ได้”

“เธอจะไปรบทัพจับศึกได้อย่างไรคะ, ศักดิ์” พูดพลางหล่อนวางแก้มลงไปคลึงอยู่บนพวงแก้มของเขา “เธอเป็นคนขี้ตกใจง่ายออกจะตายไป เพียงแต่ได้ยินเสียงอะไรตกดังนิดหน่อย เธอก็สะดุ้งและต้องร้องเรียกฤดีทุกที แล้วเธอจะไปทนฟังเสียงปืนใหญ่ปืนกลได้อย่างไร แล้วเวลาเธอสะดุ้ง อกใจสั่น เธอจะเรียกร้องหาใคร เธอออกไปรบกับเขาไม่ได้ดอกค่ะ เธอเกิดมาสำหรับที่จะอยู่ในสนามรัก มากกว่าในสนามรบ” แล้วฤดีก็จูบเขาให้ที่ริมฝีปากทีหนึ่ง

หล่อนคิดว่าเขาต้องยอมแพ้ราบแล้ว แต่ตรงกันข้าม เมื่อหล่อนเงยหน้าขึ้น เขากลับตอบในทันทีว่า “ถ้าคิดถึงการส่วนตัวของฉันแล้ว ฉันก็ไม่สามารถจะทำอะไรให้สำเร็จได้หลายอย่าง แต่ถ้าคิดถึงการของประเทศของชาติแล้ว ก็ไม่มีอะไรเหลือไว้ให้ฉันทำไม่ได้เลย ฉันคิดว่า ฉันจะต้องหาทางออกไปสู่สนามรบ ในเวลาอันเร็วที่สุด”

“เธออย่าพูดให้ดูเป็นการจริงจังหน่อยเลยค่ะ ดิฉันใจหาย”

“นี่ฉันไม่ได้พูดเล่นเลยเทียวนะ ยอดรัก ฉันตั้งใจจะไปรบจริงๆ”

หล่อนถอยห่างออกมานิดหน่อย และมองดูหน้าเขาด้วยนัยน์ตาดุๆ

“เธอเป็นอะไรไปเสียแล้วละค่ะ, ศักดิ์ ดิฉันขอถามว่า เธอจะไปรบกับใคร เธอลืมเสียแล้วหรือว่า คุณลุงของเธอ นายพันเอกพระยาสิงหราชคำรน เป็นแม่ทัพคนหนึ่งในคณะท่านบวรเดช เธอจะไปรบกับคุณลุงของเธอหรือ เธอจะไปฆ่าคุณลุงของเธอ หรือคะ, ศักดิ์?”

“ในเวลารบ เราไม่มีคุณลุง คุณน้องคุณพี่” เขาพูดด้วยเสียงหนักแน่น “เรามีแต่ฝ่ายเขากับฝ่ายเรา เมื่อคิดถึงการของประเทศ เราต้องเลิกคิดถึงการส่วนตัว ฉันถือมั่นอย่างเดียวว่า ฉันจะไปรบพวกกบฏ เมื่อคุณลุงของฉันเป็นพวกกบฏฉันก็ช่วยไม่ได้”

“เธอไม่มีความเคารพญาติผู้ใหญ่ของเธอบ้างหรือ ?”

“ฉันเคารพเหมือนกัน แต่ฉันยังเคารพรัฐบาล เคารพรัฐธรรมนูญ เคารพมติมหาชนยิ่งกว่าหลายเท่านัก”

“เธอมีเหตุผลอะไร ที่เรียกคุณลุงของเธอว่าเป็นกบฏ?”

สมศักดิ์หัวเราะหึๆ แต่ด้วยกังวานน่ากลัว

“เมื่อวานนี้ ฉันเกือบได้ชกหน้า อ้ายบ้าอะไรคนหนึ่ง ซึ่งมาตั้งปัญหาเอากับฉันทำนองนี้”

“แหม! เธอนี่เก่งใหญ่เสียแล้ว แต่ดิฉันเชื่อว่า เธอคงไม่ชกหน้ายอดรักของเธอดอกนะ”

สมศักดิ์สอดมือโอบร่างฤดีมากอดไว้เบาๆ “ถ้าฉันชกหน้าเธอ มันคงจะทำให้ฉันเจ็บปวดยิ่งกว่าฉันจะชกหน้าของฉันเองเสียอีก” เขาพูดด้วยกิริยาร่าเริงนิดหน่อย ตอนต่อไปเขาได้พูดอย่างจริงจัง “เราเรียกคนพวกนี้ว่าเป็นกบฏได้เต็มที่ เพราะเหตุว่าเขาคิดจะล้มล้างรัฐบาลซึ่งดำเนินการปกครองตามระบอบรัฐธรรมนูญ และซึ่งเป็นระบอบการปกครองที่มหาชนนิยม คนพวกนี้พยายามขัดขวางทำลายมติมหาชนคนพวกนี้จึงเป็นกบฏต่อมหาชน กบฏต่อชาติ ต่อบ้านเมือง เธอเข้าใจแล้วหรือยังเดี๋ยวนี้”

“ดิฉันพอจะเข้าใจบ้างนิดหน่อย แต่ศักดิ์คะ ดิฉันหวังว่า เธอจะไม่บังคับยอดรักของเธอ ให้เข้าใจในการเมือง เท่ากับที่ดิฉันมีความเข้าใจในการบ้านดอกนะคะ” หลอนพูดต่อไปด้วยเสียงเบาๆว่า “เธออยู่กับดิฉันเถิดนะคะศักดิ์ เธออย่าทิ้งดิฉันไว้คนเดียวเลย เธอเห็นแก่ประเทศชาติของเราด้วยความรู้สึกอันแรงกล้าเช่นนี้ ก็ทำให้ดิฉันมีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งแต่ถึงอย่างไร เธอก็ควรจะเห็นแก่คำขอร้องของภรรยายอดรักของเธอบ้าง”

เขาตระกองกอดภรรยาแนบแน่นเข้าอีกขณะที่หล่อนซบหน้าลงบนไหล่ของเขา

“ฉันจะไม่ทิ้งเธอไปเลย แม้ว่าฉันจะประสพความตายก่อนเธอ วิญญาณของฉันก็จะมาอยู่กับยอดรักของฉันเป็นนิจ”

“อย่าพูดถึงความตายสิคะ ยอดรัก ดิฉันหวาดกลัวต่อความตายของเธอ ยิ่งกว่าความตายของดิฉันเอง แต่เมื่อเธอไม่ต้องไปรบแล้ว ดิฉันก็อุ่นใจ”

“ฤดีจ๊ะ ที่ฉันว่าไม่ทิ้งเธอนั้น จะได้หมายว่าฉันจะไม่หาทางไปรบกับพวกกบฏก็หามิได้ การไปรบนั้น ฉันถือเป็นหน้าที่ ซึ่งฉันจะต้องทำให้แก่บ้านเมือง และเมื่อเป็นหน้าที่แล้ว ถึงฉันจะห่างจากเธอไปชั่วคราว ก็ไม่นับว่าฉันได้ทิ้งเธอไปมิใช่หรือ?”

ฤดีค่อยปลดมือของสามีที่โอบกอดหลอนไว้ พลางถดถอยกายออกมายืนอยู่ห่างๆ แววตาละห้อยเตรียมพร้อมที่จะหลั่งน้ำตาออกมา เห็นได้ชัดว่ามีความเสียใจและน้อยใจระคนปนกัน

สมศักดิ์ผู้มีความปราณีต่อภรรยาของเขาเสมอ ได้ถามว่า “ฉันทำอะไรผิดไปหรือ, ยอดรัก?”

“เปล่าดอกค่ะ ศักดิ์ของดิฉันเป็นชายซึ่งสวรรค์ส่งให้มาเกิดในเมืองมนุษย์ เป็นผู้ที่เห็นแก่ชาติบ้านเมืองเสียจนไม่มีความเป็นห่วงความสงสารที่จะให้แก่ภรรยาของเขาได้” ฤดีพูดด้วยเสียงสั่นเครือ ละหยาดน้ำตาก็เริ่มไหลรินออกมาทีละน้อย “เธอคงจะลืมไปว่า เธอเป็นชีวิตจิตใจของฤดี ดิฉันได้ปรารภทบทวนถ้อยคำแก่เธออยู่เสมอว่า ดิฉันไม่สามารถจะดำรงชีวิตอยู่ในโลกได้โดยปราศจากเธอเสียคนหนึ่ง ดิฉันรักเธอยิ่งกว่าชีวิตของดิฉันเอง เป็นห่วงเธอยิ่งกว่าตัวเอง แต่เธอดูเหมือนจะไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของดิฉันกี่มากน้อย เป็นความผิดของดิฉันหรือคะที่รักผัวเสียจนจะขาดเขาเสียไม่ได้”

สมศักดิ์ดึงภรรยาเข้ามาในวงแขน จูบที่ผม ที่หน้าผาก ที่นัยน์ตาซึ่งยังเปียกอยู่ด้วยความปราณีสงสารอย่างจับใจ น้ำเสียงและน้ำตาของฤดีทำให้ความตั้งใจของเขาสั่นสะเทือนไปบ้าง เขาพูดกับภรรยาว่า “นี่ เธอยังคิดว่า ฉันยังเข้าใจเธอไม่พออีกหรือฤดี?”

“ถ้าเธอเข้าใจดิฉันเพียงพอแล้ว เหตุใดเธอยังคิดที่จะปล่อยดิฉันไว้แต่ลำพังอีกเล่า” หล่อนพูดพลางสะอึกสอื้น “เธอลืมไปแล้วหรือว่า เราเพิ่งแต่งงานกันได้ไม่ถึงปี ฤดียังเป็นเหมือนทารกของการมีเหย้ามีเรือน ดิฉันต้องอยู่ไม่ห่างอกคุณแม่อย่างไรเมื่อดิฉันเป็นทารก เดี๋ยวนี้ดิฉันก็ต้องการอยู่กับอกเธอตลอดเวลาเช่นเดียวกัน ยิ่งกว่านั้นเธอต้องระลึกว่า ฤดีของเธอเริ่มตั้งครรภ์แล้ว เผื่อว่าเป็นคราวเคราะห์อย่างร้ายแรง เธอต้องประสพอันตรายถึงแก่ชีวิตในการไปรบกับพวกกบฏ เธอจะไม่นึกสงสารลูก ซึ่งจะเกิดมาโดยไม่มีวาสนาจะได้เห็นหน้าพ่อของเขาแม้แต่นิดเดียวหรือคะ?”

สมศักดิ์นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ความตั้งใจของเขาคลอนแคลนลงมาก เขาก้มลงจูบภรรยาอีก ๒-๓ ครั้ง ด้วยความรักและสงสารอย่างจับใจ พลางพูดปลอบเอาใจว่า “เธอออกจะวาดภาพที่น่ากลัวเกินไป เพราะว่าถึงแม้ฉันจะออกไปรบ ฉันก็คงจะไม่ประสพความตายง่ายๆ ฉันเชื่อมั่นเหลือเกินว่า ฉันจะต้องได้กลับมาเห็นหน้ายอดรักพร้อมด้วยความสำเร็จยิ่งใหญ่ที่ฉันได้บากบั่นทำไปด้วยความเคารพเลื่อมใสในรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อเธอมาขัดขวางฉันไว้ด้วยคำขอร้องอันน่าสงสารเช่นนี้ ฉันก็ยากที่จะหาหนทางออกไปรบกับพวกกบฏได้”

นัยน์ตาของฤดีมีแววสุกใส เมื่อสังเกตน้ำเสียงของสามีอ่อนลง หล่อนเอามือโอบคอเขาไว้ ชะม้อยตาขึ้นเบื้องบน ในดวงตาเต็มไปด้วยประกายแห่งความรัก

“ศักดิ์คนดีของดิฉัน อยู่กับเมียเถิดนะคะ เห็นแก่ลูกของเราซึ่งจะได้เกิดเป็นตัวเป็นตน เป็นดวงตาดวงใจของเธอและดิฉันในไม่อีกกี่เดือนข้างหน้า” หล่อนฉะอ้อน “เมื่อคลอดลูกแล้ว และถ้าเกิดมีผู้กบฏคิดคดต่อรัฐธรรมนูญขึ้นอีก ดิฉันจะไม่ขัดขวางเธอเลย จะปล่อยให้เธอไปรบ ไปรับใช้ประเทศชาติของเรา ดิฉันจะคอยร้องไชโยให้เธออยู่ทางนี้ และถ้าเป็นเวลาที่ลูกของเราโตพอ ดิฉันจะให้ไปกับเธอด้วยแน่นอน แต่เวลานี้ เธอก็เห็นแล้วว่าดิฉันเพิ่งตั้งครรภ์ เธอไม่ทิ้งดิฉันไปรบนะคะยอดรัก”

สมศักดิ์ใจอ่อนลงมาก ได้แต่กอดภรรยานิ่งไว้ นั่นก็เป็นคำตอบว่าเขาไม่สามารถจะขัดขืนใจฤดีได้

แต่เป็นโชคร้ายของฤดีอะไรเช่นนั้น! กองไฟในหัวใจของสมศักดิ์กำลังมอดลงแล้ว แต่ก็บังเอิญมีผู้ทิ้งเชื้อเพลิงให้ลุกพึ้บขึ้นอีก ลุกอย่างไฟไหม้ป่าทีเดียว!

เด็กคนใช้นำหนังสือพิมพ์ที่ออกในค่ำวันนั้นมาให้แก่สมศักดิ์ เขารับมาตรวจข่าวปราบกบฏ ข่าวสำคัญที่สุดในวันนั้นซึ่งสั่นหัวใจผู้อ่านอย่างรุนแรงคือ นายทหารฝ่ายรัฐบาล ๒ นาย พร้อมด้วยนายสิบพลทหารอีก ๖ นาย ประจำรถปืนใหญ่ ได้เสียชีวิตไปในการรบที่บางเขน โดยที่ฝ่ายกบฏได้ปล่อยรถจักรชนิดแฮนโนแม๊กขนาดใหญ่วิ่งเข้าชนรถปืนใหญ่คันนี้โดยแรง นายทหาร นายสิบ และพลทหารทั้ง ๒ นายซึ่งประจำรถปืนใหญ่ได้พยายามทำการยิงต่อสู้กับกองทหารฝ่ายกบฏ และตัวรถจักรเปล่าที่ปล่อยมาชนอย่างทรหดอดทนกล้าหาญ จนถึงวินาทีสุดท้ายที่ถูกรถจักรฝ่ายกบฏชนพินาศย่อยยับล้มคว่ำลงจากทางรถไฟ และถึงแก่ความตายทั้ง ๘ นาย นายทหารฝ่ายกบฏที่ออกความคิดกระทำการอันเหี้ยมโหดทารุณอย่างร้ายกาจนี้ ปรากฏตามข่าวในหนังสือพิมพ์ว่า เป็นนายพันเอก พระยาสิงหราชคำรน ลุงของสมศักดิ์นั่นเอง

“อ้ายพวกมหาโจร!” สมศักดิ์ร้องเสมือนหนึ่งได้รับความเจ็บปวดเต็มที่ พร้อมกับขว้างหนังสือโครมลงไปบนพื้นห้อง “ฉันทนไม่ไหวแล้วฤดี ถ้าฉันต้องอยู่แต่ในบ้าน โดยที่ไม่ได้แสดงความเจ็บร้อนแทนพวกทหารเหล่านี้แล้ว ฉันคงจะต้องเป็นบ้าในไม่ช้า”

ฤดีต้องสะดุ้งตกใจอีกครั้งหนึ่ง หล่อนหยิบหนังสือพิมพ์ที่สมศักดิ์ขว้างทิ้งขึ้นมาอ่านด้วยความหวาดหวั่นพรั่นใจ และเมื่อหล่อนอ่านข่าวสำคัญนั้นตลอดแล้ว หล่อนได้พูดปลอบสามีว่า “ดิฉันเห็นใจที่เธอจะต้องมีความเจ็บร้อนแทนทหารของเรา แต่ขอเธออย่าปล่อยอารมณ์ให้เคียดแค้นเกินไป มันจะเป็นภัยแก่ยอดรักของดิฉัน”

“ฉันจะสงบความเคียดแค้นไม่ได้ จนกว่าฉันจะได้ฆ่าเจ้าคนที่ออกหัวคิด สังหารชีวิตพวกเราทั้ง ๘ คนนี้”

“ใครเป็นคนออกหัวคิดในเรื่องนี้ ไม่ใช่เจ้าคุณสิงหราชคำรน คุณลุงของเธอดอกหรือ? เธอหมายความว่า เธอจะฆ่าคุณลุงของเธอหรือคะ, ศักดิ์?”

“ขออย่าพูดถึงเรื่องคุณลุง คุณป้ากับฉันอีก เลย, ฤดี” สามีพูดด้วยอารมณ์ที่มีกองไฟเข้าไปสุมอยู่ในอก “ฉันบอกแล้วว่า ในเวลานี้ ไม่มีคุณลุง คุณพี่ คุณน้องอะไรทั้งนั้น ฉันตกลงใจแล้วว่า ถ้านายพันเอกพระยาสิงหราชคำรนไม่ตายเสียก่อนเขาจะต้องได้เผชิญหน้ากับนายสมศักดิ์ในสนามรบ”

ฤดีใจหาย และหน้าสลดลงอีกครั้งหนึ่ง หล่อนรู้ดีว่า ในเวลาที่สามีโกรธจัดเช่นนี้ การทัดทานห้ามปรามอย่างใดย่อมไม่เป็นอันบังเกิดผล สิ่งเดียวที่ฤดีจะพึงทำในเวลาเช่นนี้ ก็ได้แต่รอดูเหตุการณ์ต่อไปด้วยใจหายใจคว่ำเท่านั้น

สมศักดิ์เดินกลับไปกลับมาอยู่กลางห้องด้วยจิตใจกระวนกระวายเป็นครู่ใหญ่ ในที่สุดเขาออกคำสั่งแก่ฤดีว่า “เธอไปหยิบเสื้อกับหมวกมาให้ฉันทีเถอะ”

ฤดีสะดุ้ง หล่อนถามเขาด้วยความยำเกรงว่า “เธอจะไปไหนคะ ค่ำคืนแล้ว”

“อย่าถามอะไรฉันเลยฤดี ฉันกำลังไม่สบายใจ โปรดปฏิบัติตามคำสั่งของฉันเถิด”

ในเวลาจริงจังเช่นนี้ ฤดีเป็นผู้ที่มีความยำเกรงสามีที่สุด เมื่อหล่อนนำตัวหายเข้าไปในห้องใกล้ๆได้เพียงอึดใจเดียวก็มีเสียงร้องกรีดอย่างสุดเสียงดังออกมาจากในห้องนั้น สมศักดิ์สะดุ้งทั้งตัว แล้วก็วิ่งตามเข้าไป ฤดีโผเข้ามาอยู่ในวงแขนของเขา พลางเบือนหน้าไปทางรูปถ่ายของสมศักดิ์ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะโดยยังไม่ได้เข้ากรอบ บนรูปถ่ายมีหนูตัวหนึ่งนอนตายอยู่ เลือดโทรมตัว หยดเปรอะเปื้อนไปทั่วรูปถ่ายของสมศักดิ์

“โธ่, นึกว่าเรื่องร้ายแรงอะไร แมวกัดหนูตายเท่านั้น” เขาพูดด้วยอารมณ์ซึ่งยังขุ่นมัวอยู่ แล้วเขาเดินไปหยิบเสื้อนอกและหมวกมาสวมด้วยตนเอง

เมื่อสามีแต่งตัวแล้ว ฤดีเข้าไปหาเขาอีกครั้งหนึ่ง เอามือโอบคอเขาไว้ น้ำตาคลอ ถามด้วยเสียง ละห้อยว่า “เธอจะไปไหนคะ, ยอดรัก”

“ฉันจะไปดี ก็แล้วกัน และจะกลับมาหาเธอในไม่ช้า” เขาตอบสั้นๆ

“ดิฉันไม่อยากจะให้เธอออกจากบ้านเลยคะ ศักดิ์” ฤดีเหลือบนัยน์ตาไปทางโต๊ะนั้นอีก “ดูสิคะ ศักดิ์ รูปถ่ายของเธอเปื้อนเลือดออกแดงไปหมด ดิฉันอกใจเต้นด้วยความหวาดกลัว มันอาจจะเป็นลางบอกเหตุร้ายเกี่ยวแก่ตัวเธอ เธออย่าไปรบนะคะ อยู่บ้านเถิดนะคืนนี้ อยู่กับอกของฤดี”

คิ้วของสมศักดิ์ขมวด สีหน้ามีทีท่าตรึกตรองนิดหน่อย แต่เขาได้รีบตัดสินตกลงใจในวินาทีต่อมา เขายืดตัวตรงกลัดกระดุมเสื้อพลางพูดว่า “เหลวไหลน่ะฤดี เราไม่เคยถือโชคถือลาง เราถือว่าสิ่งใดที่เกิดขึ้น มันย่อมเป็นไปตามทาง อันดีที่สุดที่จะเป็นไปได้แล้ว” เขารวบร่างหล่อนมาจูบอย่างหน่วงหนักครั้งหนึ่ง “ฉันไปก่อนนะยอดรัก เธอจงสบายใจ และอย่าเป็นห่วงผัวเลย ฉันไปดี”

พูดจบเขาก็ผลุนผลันออกจากห้อง หายไปในความมืด ฤดีวิ่งตามออกไปตะโกนเรียกสามีอยู่หลายคำ แต่สมศักดิ์ไม่ได้กลับมา เขาไปเสียแล้ว เขาบอกกับภรรยาว่าเขาไปดี แต่นั่นไม่ได้ช่วยให้หล่อนมีความสบายใจขึ้นเลย เมื่อเข้าไปในห้องพบรูปถ่ายสามีซึ่งมีเลือดสดๆเปรอะเปื้อนอยู่ ฤดีต้องร้องกรีดอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็ถอยออกมา ขึ้นเตียงร้องไห้ภาวนาขออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้คุ้มครองป้องกันภัยสามียอดรักของหล่อน

วันล่วงไปจากวันหนึ่ง สองวัน สามวัน สมศักดิ์ก็ยังไม่กลับบ้าน และไม่ได้ข่าวคราวว่าเขาหายไปไหน ในวันรุ่งขึ้นจากวันที่สามีออกจากบ้านไปนั้นเอง ฤดีก็ตรงไปที่วังปารุสกวันสอบถามว่า สมศักดิ์ได้มาอาสาไปปราบกบฏบ้างหรือไม่ ทางวังปารุสกวันก็ตอบว่า ไม่มีชื่อนายสมศักดิ์ เด่นชัย มาขออาสาสมัครเลย และเมื่อกองทหารกบฏถอยไปจากบางเขนแล้วก็ไม่มีผู้อาสาสมัครคนใดได้ติดตามกองทหารไป ฤดีค่อยคลายความเป็นห่วงลงนิดหน่อยเมื่อทราบว่าสามีไม่ได้ไปกับกองทหารแต่เขามาหายสาปศูนย์ไปไหนเป็นปัญหาที่ฤดีไม่สามารถจะตอบได้ เพราะตามปกติสมศักดิ์ไม่เคยไปเที่ยวเตร่นอนค้างอ้างแรมที่ไหนเลย ฤดีได้แต่นับเวลานาทีคอยท่าผัวรักอยู่ และผู้ที่เป็นเพื่อนอันประเสริฐสุดของหล่อนในเวลานี้ก็ไม่มีอะไรอีกแล้ว นอกจากน้ำตา

กองทหารกบฏได้ถอยจากบางเขนไปดอนเมือง ถอยจากดอนเมืองไปทับกวาง ได้คาดหมายกันว่า กบฏจะทำการต่อสู้จนสุดฝีมือ ณ ที่สถานีปากช่อง ประชาชนในพระมหานครต่างคอยฟังข่าวการรบอย่างร้ายแรงที่จะเกิดขึ้น และพากันเป็นห่วงถึงชีวิตเลือดเนื้อของทหารฝ่ายรัฐบาล

ในเช้าวันที่ ๒๕ ตุลาคม หนังสือพิมพ์ได้ลงข่าวที่น่าตื่นเต้นที่สุดนับแต่ได้มีการกบฏ หัวหน้ากบฏสำคัญคนหนึ่ง คือนายพันเอก พระยาสิงหราชคำรน ได้ถูกยิงตายในการรบตะลุมบอนที่สถานีหินลับ โดยฝีมือของนายสมศักดิ์เด่นชัยผู้เป็นหลานชายของพระยาสีหราชนั้นเอง สรุปข้อความตามข่าวหนังสือพิมพ์คงได้เรื่องดังต่อไปนี้

นายสมศักดิ์เด่นชัย ภายในเครื่องแบบลูกเสือ ได้ติดตามกองทหารของรัฐบาลขึ้นไปตั้งแต่บางเขนจนถึงสถานีหินลับ โดยเหตุที่เขาเพิ่งมีอายุได้ ๒๔ ปี และดวงหน้าอันสวยงามของเขา ทำให้เขาแลดูเป็นเด็กหนุ่มอยู่ จึงใครๆก็พากันเชื่อว่าเขาเป็นลูกเสืออันแท้จริง สมศักดิ์ได้ทำความพอใจให้แก่นายทหารซึ่งมีหน้าที่อำนวยการรบอยู่ในแนวหน้า ดังนั้น ในวันที่จะมีการรบตะลุมบอนกันที่หินลับ เขาจึงได้ขอปืนสั้นจากนายทหารผู้นั้นไว้ประจำตัวกระบอกหนึ่ง และติดตามกองทหารไปด้วย สมศักดิ์ได้หลบหลีกเล็ดลอดเข้าไปในแดนของทหารกบฏแต่ลำพังผู้เดียวโดยไม่มีใครทราบ โดยเหตุที่เป็นเวลาค่ำคืน และภูมิประเทศเต็มไปด้วยที่กำบัง เขาจึงหาทางเล็ดลอดเข้าไปได้ไม่สู้ยากนัก เขาได้ซุ่มซ่อนตัวอยู่ในที่กำบังแห่งหนึ่ง จนกระทั่งใกล้จะถึงเวลาตะลุมบอน มีนายทหารฝ่ายกบฏ ๒ นาย กำลังจะวิ่งผ่านหน้าเขาไปสมศักดิ์เอาไฟฉายส่องดูหน้า นายทหารฝ่ายกบฏคงจะสำคัญว่าเป็นพวกเดียวกัน จึงไม่ได้คิดที่จะป้องกันตัว ได้ร้องถามมาว่า “ใครกันวะ?” ได้เห็นหน้าเพียงแวบหนึ่งและได้ยินน้ำเสียง สมศักดิ์ก็รู้แน่ว่าเป็นพระยาสิงหราชคำรน สมศักดิ์ได้ร้องตอบออกไปว่า “ผมเอง นายสมศักดิ์” พระยาสิงหราชฯ จึงเดินตรงเข้ามาพลางร้องถามอีกว่า “เจ้าหลานชายของฉันหรือนั่น?” พอสิ้นเสียง กระสุนจากปากกระบอกปืนของสมศักดิ์ก็วิ่งเข้าไปฝังอยู่ที่แถวหัวใจของพระยาสิงหราชคำรน หัวหน้ากบฏร้องเสียงลั่นแล้วก็ล้มฟุบลงในทันทีนั้น นายทหารคนสนิทของพระยาสิงหราชคำรน ได้รีบฟุบตัวหมอบลง พร้อมกับส่งกระสุนมายังสมศักดิ์ และดูเหมือนจะเป็นเวลาเดียวกันนั้นนายทหารคนสนิทของหัวหน้ากบฏ ก็ได้รับการยิงตอบแทนจากสมศักดิ์เหมือนกัน พระยาสิงหราชคำรนขาดใจตายในที่นั้น นายทหารผู้น้อยสิ้นใจในชั่วโมงต่อมา สมศักดิ์ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทางกองทหารได้รีบส่งตัวสมศักดิ์กลับกรุงเทพฯ เพื่อรับการรักษาพยาบาลโดยด่วน พร้อมกับศพของหัวหน้ากบฎ พระยาสิงหราชคำรน หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่า สมศักดิ์คงจะถูกนำไปรับการรักษาพยาบาล ณ กองเสนารักษ์พญาไท ในตอนเช้าวันที่ลงข่าวนั้นเอง

พอฤดีอ่านข่าวนี้จบ ก็มีรถทหารมาที่บ้านหล่อน และรายงานว่า สมศักดิ์ได้ถูกนำมารักษาตัว อยู่ที่กองเสนารักษ์พญาไทขอให้มารับหล่อนไปพบโดยด่วน ฤดีไม่มีแก่อกแก่ใจที่จะนึกถึงอะไรหมด ด้วยเครื่องแต่งตัวอย่างเรียบๆที่แต่งสำหรับอยู่กับบ้านนั้นเอง หล่อนได้ไปกับรถทหาร ในระหว่างทางหล่อนได้ถามทหารถึงอาการของสามี แต่ทหารเหล่านั้นมีหน้าเศร้าทุกคนและตอบปัญหาของหล่อนอย่างไม่เต็มปากเต็มคำ เท่านี้ฤดีก็พอจะคาดหมายได้ว่าอาการของสามีหนักเบาประการใด หล่อนนึกถึงหนูตายบนรูปถ่ายของสมศักดิ์ หล่อนร้องไห้ตั้งแต่ออกจากบ้านจนกระทั่งมาถึงกองเสนารักษ์พญาไท

เมื่อฤดีมาถึงหน้าห้องที่สมศักดิ์นอนรับการพยาบาลอยู่นั้น ก็พอดีสวนกับท่านผู้บัญชาการทหารบก และนายทหารอีกหลายนาย ซึ่งพากันมาเยี่ยมชายหนุ่มผู้กล้าหาญ ท่านผู้บัญชาการทหารบกเดินหน้าเศร้าออกมาจากในห้อง ขณะที่สวนกับฤดีที่หน้าประตูท่านถามว่า ฤดีเป็นภรรยาของเขาหรือ และเมื่อฤดีตอบรับคำ ท่านได้ยื่นมือมาขอรับการสัมผัสและก้มศีรษะให้อย่างนอบน้อม พร้อมกับกล่าวถ้อยคำว่า “สามีของคุณเป็นผู้ที่ประเทศชาติเป็นหนี้บญคุณเป็นอย่างมาก เลือดเนื้อของเขาจะได้รับความเคารพอาลัยจากประชาชนทั่วไป ถ้าเขาจะต้องเสียชีวิต คุณก็จงมีความภาคภูมิใจในเกียรติคุณของเขาเถิด”

เมื่อท่านผู้บัญชาการทหารบกได้กล่าวคำอำลาไปแล้ว ฤดีได้เดินเข้าไปในห้องอย่างรีบร้อน พบสมศักดิ์กำลังนอนหลับตา หายใจรวยๆอยู่บนเตียง

“ศักดิ์ขา” หล่อนเรียกเบาๆ แล้วก็ฟุบหน้าลงไปที่ดวงหน้าของเขา น้ำตาของฤดีร่วงพรูต้องหน้าของสมศักดิ์ คนป่วยจึงรู้สึกตัว และค่อยๆเบิกตาขึ้นอย่างยากลำบาก เขาพยายามจะยิ้มให้แก่ภรรยา ยอดรักของเขาอย่างเต็มที่ แต่เขาก็ทำไม่ได้สมกับความตั้งใจ

“ฉันเป็นสุขแล้วยอดรัก ที่ได้ทำหน้าที่ของลูกผู้ชายสำเร็จไปอย่างหนึ่ง” เขาพูดเบาๆ “เธอจงมีความอิ่มใจและชื่นชมยินดีด้วยกับผัวนะยอดรัก”

“อาการของเธอเป็นอย่างไรบ้าง อีกกี่วันจะหายคะ?”

คนเจ็บยิ้มอย่างเศร้า “ฉันคิดว่า อีกไม่ช้า ฉันก็จะต้อง—-เราพูดเรื่องอื่นกันไม่ดีหรือฤดี”

เขาบิดตัวไปมาด้วยความเจ็บปวด ฤดีสะอื้นถี่ขึ้น

“เธออย่าตายนะคะ อย่าได้ตายเป็นอันขาดทีเดียว เธอเป็นห่วงเมียและลูกบ้างหรือเปล่าคะ?”

น้ำตาคลอที่นัยน์ตาสมศักดิ์

“เป็นห่วงเหลือเกินยอดรัก” เขาพูดเสียงละห้อย “เมื่อฉันไปรบ ฉันหลอกพวกทหารเขาว่าฉันไม่มีห่วงอะไร ความองอาจกล้าหาญที่ฉันได้แสดงออกไปให้เขาเห็นประจักษ์แล้ว ทำให้เขาเชื่อสนิทว่าฉันอยู่ตัวคนเดียว แต่ความจริง ฤดีย่อมทราบดีว่าฉันรักเมียของฉันดังดวงใจ แต่ข้อนี้ไม่ได้ทำให้ยอดรักของเธอลืมหน้าที่ ซึ่งผูกพันอยู่กับประเทศชาติและรัฐธรรมนูญของเรา เมื่อวีรชนคณะหนึ่ง ได้ตั้งใจพลีชีวิต เพื่อนำรัฐธรรมนูญมามอบให้แก่ประเทศสยามแล้ว ก็ทำไมเล่าผู้ชายอย่างผัวของฤดีจะไม่ตั้งใจพลีชีวิต เพื่อพิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญ ให้อยู่เป็นมิ่งขวัญของประเทศสยามต่อไป

“ฉันคงไม่ได้มีชีวิตอยู่เห็นหน้าลูกเสียแล้ว ยอดรัก แต่–ฤดีจ๋า ลูกของเราจะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม ขอเธอจงพร่ำสอนให้เขาเข้าใจอย่างซึมชาบว่า พ่อของเขาได้ตายไปในโอกาสที่ทำการพิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญ และถ้าเขาได้ประสพโอกาสเช่นพ่อของเขาแล้ว ฉันขอฝากคำขอร้องไว้ว่า ให้เขารีบฉวยโอกาสนั้นในทันที

“ฉันไม่มีทรัพย์สมบัติที่เป็นชิ้นเป็นอันอะไรที่จะเหลือไว้ให้เป็นมรดกแก่ลูกของเรา ฉันมีแต่เกียรติคุณความดีที่ฉันได้ทำในครั้งนี้ทิ้งไว้ให้เป็นมรดก ซึ่งจะไม่มีวันเวลาสิ้นเปลืองหมดไปได้ เป็นมรดกซึ่งฉันคิดว่ามีค่ายิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหลาย

“ฉันภูมิใจแล้วที่ฉันได้ตายในโอกาสเช่นนี้ ถ้าเขาจะนำศพของฉันไปเผาที่ท้องสนามหลวงพร้อมกับศพของวีรชนอื่นๆ และถ้าประชาชนจะพากันไปแสดงความอาลัยในผู้ซึ่งได้อุทิศชีวิตเพื่อความสันติสุขของประชาชาติไทย และเพื่อพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญอันศักดิ์สิทธิ์ ฉันก็ได้ตายด้วยความอิ่มใจอย่างที่สุด และถ้าผัวของเธอได้รับเกียรติยศ และความเศร้ากำสรดอาลัยจากประชาชนผู้ร่วมชาติดังนี้แล้ว เธอจงอย่าได้อาลัยในความตายของผัวเลยเธอ จงตัดใจสละผัวของเธอให้แก่ประชาชาติไทย ด้วยความอิ่มใจเถิด”

สมศักดิ์กล่าวถ้อยคำเหล่านี้ช้าๆ ด้วยเสียงแผ่วเบา แต่ทว่าชัดถ้อยชัดคำ เหมือนกล่าวคำสวด วางมือไว้บนมือภรรยาน้ำตาคลอตลอดเวลาที่พูด ฤดีนั่งฟังอยู่ด้วยอาการสะอึกสะอื้นและไม่ได้พูดอะไรเลย

สมศักดิ์ได้สิ้นใจในวันต่อมานั้นเอง ชายหนุ่มผู้กล้าหาญได้เปล่งวาจาครั้งสุดท้ายก่อนจะขาดใจว่า

“ลาก่อน ยอดรัก ลาก่อน รัฐธรรมนูญ”

ฤดีร้องไห้กลิ้งเกลือกอยู่กับศพจนกระทั่งสิ้นสติสมปฤดี

ไปดีเถิด, สมศักดิ์ ไปดีเถิด ท่านวีรชน

เกียรติคุณความดีที่ทิ้งไว้เบื้องหลังจะไม่มีวันจืดจางโรยราได้เลย

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Twitter picture

You are commenting using your Twitter account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s