[Click here to read the story in English translation]
มุทิตา อุเบกขา เขียน
เครดิตภาพปก: Todd Phillips/Instagram
ฉันมองตามอย่างลูกเกดว่า แสงสีทองสำหรับคนที่มีพร้อมทุกอย่างกับแสงสีทองสำหรับคนที่สูญเสียทุกอย่าง เป็นแสงสีทองเดียวกันไหม
เสียงหัวเราะ
The Sound of Laughter
รู้ตัวอีกที เท้าทั้งสองข้างก็วางอย่างหมิ่นเหม่ว่าจะพ้นไปจากขอบตึก แค่ขยับพลาดนิดหน่อย ตัวก็พร้อมเสียหลักร่วงละลิ่วตามแรงโน้มถ่วง ไม่มีอะไรให้คว้าเสียด้วยตรงนี้ ลมพัดค่อนข้างแรงบนดาดฟ้าชั้น 14 พัดต่อเนื่องดังวู่ๆ ราวกับกำลังอยู่ชายทะเล ทำไมกัน ตอนที่เดินอยู่ข้างล่างไม่เคยสัมผัสลมแบบนี้เลย มีแต่ความอบอ้าวจนเหงื่อไคลย้อย
มองลงไปข้างล่างเป็นสวนเล็กๆ ข้างตึก ไม่มีคน ไม่มีรถ มีแต่ถังขยะหลากสีที่ใส่ขยะผสมปนเปแบบเดียวกันทั้งหมด ระยะห่างของตาถึงพื้นสร้างความรู้สึกโหวงหวิวในช่องท้องอย่างมาก ขาก็เหมือนจะสั่นหน่อยๆ ทั้งที่ไม่รู้สึกหวาดกลัว มองเห็นเล็บเท้าสีแดงจิกแน่นกับขอบซีเมนต์ ทำไมมันจิกแน่นขนาดนั้น เกร็งจนมองเห็นเส้นเอ็นชัดทั้งที่ไม่ได้รู้สึกเครียด หรือมันเป็นนิ้วเท้าของคนอื่น
รู้ตัวอีกที แดดก็เปลี่ยนข้าง เงาเริ่มเปลี่ยนทิศ ผู้คนบนถนนที่ห่างออกไปลิบๆ ด้านซ้ายเริ่มเดินกันหนาตาบนทางเท้า รถเริ่มติดเป็นแถวยาวเหยียด ความโหวงที่ท้องหายไปแล้ว ความเกร็งที่นิ้วเท้าก็ดูเหมือนจะหายไปแล้วเหมือนกัน
แวว!!!!
เสียงเรียกแหลมดังน่าตกใจ ค่อยๆ เอี้ยวตัวหันไปมองอย่างยากเย็น หากเท้าขยับผิดองศา ตัวก็พร้อมจะหล่นทันที
ลูกเกดนั่นเอง เธอหยุดยืนอยู่ห่างไปซักสามสี่เมตร ไม่กล้าเดินเข้ามาใกล้ หน้าตาขาวซีด พูดไปน้ำตาไหลไป ฟังไม่ค่อยได้ศัพท์นัก จับได้แต่เพียงคำว่า “ชั้นรักแกนะ” มองดูอยู่พักใหญ่ ลูกเกดพยายามเดินเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ทีละนิดๆ เธอค่อยๆ เอื้อมมือ…
นาทีนั้น ตัดสินใจกระโดดจากขอบตึก ลงมายืนข้างๆ ลูกเกด เธองงเล็กน้อยก่อนโผเข้ากอดแล้วร้องไห้โฮ
คืนนั้นลูกเกดไม่กลับบ้านและนอนเป็นเพื่อนที่คอนโด
วันรุ่งขึ้นลูกเกดพาไปพบใครบางคน ผู้ชายมีหนวดบางเหนือริมฝีปาก แต่งตัวสะอาดสะอ้าน ยิ้มง่าย ดูเป็นมิตรและอารมรณ์ดี เรานั่งคุยกันบนเก้าอี้โซฟาสีขาวตัวใหญ่ มันโดดเด่นมาก เพราะเก้าอี้อื่นๆ เป็นสีน้ำตาลและตัวเล็กกว่าทั้งสิ้น
ลูกเกดพยายามอธิบายให้เขาฟังว่า คนที่เธอพามาพบมีไทม์ไลน์ความบัดซบในชีวิตอย่างไร
พ่อติดคุกในคดีเกี่ยวกับความคิดหลายปีจนปัจจุบันก็ยังไม่ออกมา ญาติๆ ตัดขาดเพราะรับไม่ได้ เพื่อนบ้านรังเกียจ เพื่อนฝูงกระแนะกระแหน แม่ซึ่งต้องรับภาระดูแลลูกเพียงลำพังมาหลายปีเพิ่งแต่งงานใหม่เมื่อปีที่แล้วหลังจากลูกเรียนจบมหาวิทยาลัย เพื่อนสนิทลี้ภัยออกนอกประเทศด้วยเรื่องการเมืองหลังการยึดอำนาจ ครอบครัวของพี่ชายเพิ่งล้มละลายเพราะพิษเศรษฐกิจ เมียของพี่ชายเป็นซึมเศร้าและเฝ้าแต่จะฆ่าตัวตาย ส่วนชะตากรรมใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเข้ามาก็คือ คนรักถูกอุ้มหายเพราะเรื่องทางการเมือง ก่อนหน้านั้นไม่กี่เดือนเพื่อนของคนรักซึ่งเคลื่อนไหวทางการเมืองด้วยแนวคิดรุนแรงกว่าถูกอุ้มฆ่าอย่างโหดเหี้ยม ฯลฯ
ลูกเกดเล่าเรื่องได้ค่อนข้างกระชับหากมองจากมาตรฐานของเธอ แม้บางจุดจะคลาดเคลื่อนไปบ้าง บางจุดที่สำคัญจะไม่ได้เล่า ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะเอาธุระกับเรื่องราวของเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มมากถึงเพียงนั้น
อันที่จริง ลูกเกดมีพื้นเพที่ไม่น่าไปด้วยกันได้ เธอเป็นลูกคุณหนู เกิดในครอบครัวร่ำรวยมาก พ่อของลูกเกดเป็นนายพลที่ใหญ่ที่สุดตอนนี้และมีข่าวลือว่าอาจมีส่วนเกี่ยวพันกับการตายของผู้ลี้ภัยทางการเมือง ส่วนแม่อยู่ในตระกูลธุรกิจอาหารที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของประเทศ ตัวเธอเองเป็นคนมองโลกในแง่ดีเสมอ ไม่ว่าใครจะว่าเธอหน่อมแน้มหรือแสแสร้ง แต่เธอก็เป็นคนรวยที่เห็นใจคนยากจน แม้ว่าเธอจะไม่รู้จักความจนเลยสักนิด และไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการแสดงออกซึ่งความเห็นใจ
หลังเกิดเรื่องทั้งหมด อาการอยากพูดคุยกับผู้คนก็น้อยลงเรื่อยๆ ลูกเกดมักให้กำลังใจเสมอ เธอบอกให้หัดมองหาแง่งามของชีวิต
“อย่างน้อยเราก็ยังมีชีวิตอยู่ ได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นทุกวันนะแวว ดูแสงมันสิ”
ฉันมองตามอย่างลูกเกดว่า แสงสีทองสำหรับคนที่มีพร้อมทุกอย่างกับแสงสีทองสำหรับคนที่สูญเสียทุกอย่าง เป็นแสงสีทองเดียวกันไหม
ชายหนุ่มที่นั่งตรงข้ามเผลอขมวดคิ้วเป็นระยะตอนฟังเรื่องจากลูกเกด เขาดูไม่ได้เข้าใจอะไรมากนัก และพยายามหันมายิ้มให้พลางสร้างประโยคถามไถ่เพื่อให้ตอบ แต่เมื่อไร้ผลหลายครั้งเข้า คู่สนทนาก็กลายเป็นเขากับลูกเกดไปโดยปริยาย ผู้ฟังกำลังฟังเรื่องที่ผู้พูดกำลังพูดเรื่องคนอื่น ที่ตลกไปกว่านั้น ผู้พูดได้ให้คำแนะนำกับผู้ฟังถึงแนวทางที่ผู้อื่นควรกระทำ มีอะไรจะวุ่นวายไปกว่านี้อีก
คำแนะนำของเขาก็เช่น คนเราต่างมีคุณค่าในตัวเอง เราต้องเริ่มต้นจากการรักตัวเอง หากมีทุกข์ร้อนอะไรก็ให้ระบายออกด้วยการพูดคุยกับคนที่เราสบายใจหรือมาคุยกับเขาที่นี่ก็ได้ ซึ่งถ้าเขาพูดให้จบประโยคก็จะต้องพูดต่อว่า “ชั่วโมงละ 1,000”
ลูกเกดฟังคำแนะนำนั้นด้วยสีหน้าซาบซึ้ง อีกเพียงนิดเดียวเธอก็จะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว
ภายใต้ถ้อยคำให้กำลังใจที่แสนงดงาม อ่อนโยน ละเมียดละไมและยาวเหยียดเหล่านั้น แก่นแกนของมันเรียบง่ายกว่ามาก คือ การช่วยเหลือตัวเอง
“ทุกอย่างขึ้นอยู่กับใจของเราเอง”
พ่อทำผิดหรือไม่ คนรักถูกอุ้มหายไปโดยใคร เพื่อนของคนรักถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมได้อย่างไร พี่ชายล้มละลายเพราะการบริหารเศรษฐกิจที่ผิดพลาดของรัฐบาลด้วยไหม และหากพี่สะใภ้จะฆ่าตัวตายในอนาคตอันใกล้เพราะปัญหาหนี้สิน นั่นก็เป็นเพราะหล่อนอ่อนแอเกินไปใช่หรือเปล่า
คำถามทั้งหมดนั้นไม่มีอยู่จริง เรื่องจริงมีเพียงสิ่งเดียวคือ ฉัน
ยิ่งพวกเขาปลอบใจมากเท่าไหร่ แนะนำแนวทางพ้นทุกข์มากเท่าไหร่ น้ำหนักทั้งหมดก็ถูกวางบนไหล่ ฉัน มากเท่านั้นไม่มีใครผิด ไม่มีสิ่งที่ต้องจัดการ ไม่มีอะไรต้องแก้ไข นอกจาก ฉัน
ในสมาคมคนทุกข์แห่งประเทศไทยซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกอยู่ 65 ล้านคนจากประชากรทั้งหมด 66 ล้านคน พวกเขาเผชิญกับผู้คนและหน่วยงานที่ให้คำแนะนำเช่นนี้มากมาย ดูเหมือนสำหรับพวกเขาแล้วโลกนี้มีแต่ ‘ลูกเกด’ เต็มไปหมด
ท่ามกลางบทสนทนาแห่งกำลังใจที่ดำเนินอยู่ในห้อง จู่ๆ ฉัน ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น ….
บทสนทนาหยุดกึก ความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะ เรามองหน้ากันและกัน แล้วโดยไม่ได้นัดหมาย ทุกคนก็หัวเราะออกมา
“ฉันดีใจที่เธอหัวเราะได้” ลูกเกดว่า
2 thoughts on “เสียงหัวเราะ”