กิตติพล สรัคคานนท์ เขียน
Summer Panadd วาด
[To read “A Tale of Cruelty” in English translation with an introduction, click here]
คัดจาก ขอศาลได้พิจารณาพิพากษาลงโทษตามกฎหมา (ตำหนัก, 2561) หน้า 4-8
อาหารบางอย่างเมื่อได้รู้ถึงส่วนประกอบหรือกรรมวิธีที่ใช้ปรุงจะเอร็ดอร่อยขึ้นอีกหลายเท่า แต่อาหารบางชนิดจะเลิศรสได้ก็ต่อเมื่อเราไม่รู้ว่ามันทำจากอะไรหรือมีวิธีการพันลึกพิสดารเพียงใดกว่าจะได้มา เช่นเดียวกับเรื่องเล่าเรื่องแต่งบางเรื่องที่จะบันเทิงได้ก็ต่อเมื่อท่านไม่รู้ว่าแท้จริงมีความเป็นมาอย่างไร เรื่องที่ข้าพเจ้ากำลังจะเล่าต่อไปก็มีลักษณาการเช่นนี้ ดังนั้นเพื่อให้กระแสของความรื่นรมย์สามารถหลากไหลสะดวกดาย ก็ขอให้ทุกท่านคิดเสียว่าทั้งหมดมาจากจินตนาการอันฟุ้งซ่านของข้าพเจ้าเอง จงอย่าได้พยายามไปดั้นด้นหาความจริงหรือนึกเปรียบเทียบข้าพเจ้าเข้ากับบุคคลที่มีตัวตนบนโลกคนใดเลย
เหมือนดังที่มหาปราชญ์ได้กล่าวไว้ว่า โลกเรานั้นดีเกินกว่าจะเป็นสถานที่ของคนไม่ดี การปล่อยคนไม่ดีเพ่นพ่านไร้การควบคุมคือหายนะที่เกิดแก่คนดีอันเป็นเผ่าพันธุ์เดียวที่คู่ควรกับโลกใบนี้
การเป็นคนดีคือสิ่งที่ข้าพเจ้ารัก เพราะคนดีคือผู้ที่สามารถตัดสินได้ว่าใครคือคนเลว คนชั้นต่ำกเฬวราก คนดีบนโลกใบนี้จึงต้องมีอยู่อย่างจำกัด และก็เป็นเหมือนปราชญ์อีกท่านได้กล่าวไว้ว่า คนดีต้องดิ้นรนเพื่อให้ตนสามารถดำรงอยู่ต่อไปได้ ถ้าต้องทำการใดในทางตรงกันข้ามกับความดี เพื่อรักษาความเป็นคนดีของเราไว้ ก็ล้วนเป็นเรื่องจำเป็น
เฉกเช่นการโกหก ใครบอกว่าคนดีจะไม่โป้ปด การเป็นคนดีไม่ได้มีข้อห้ามให้เรากล่าวเท็จ เราสามารถทำได้ตราบเท่าที่ยังคงแนบเนียน และไม่มีใครสามารถจับผิดเราได้ ดังนั้นถ้าต้องขจัด หรือสังหารคนทุกคนที่ทำให้การโกหกของเราไม่สมบูรณ์ก็เป็นเรื่องที่เราต้องกระทำโดยไม่ลังเล
กล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว คนดีนั้นเกิดมาจากซากศพของคนไม่ดี คนที่ล้มเหลวในการเป็นคนดี หรืออ่อนแอเกินกว่าจะเป็นคนดี และนี่ก็คือสี่สิบห้าปีที่ข้าพเจ้ายังคงธำรงรักษาความเป็นคนดีของตนเองไว้อย่างหนักแน่นมั่นคง
เมื่อหลายปีก่อน คนดีอย่างข้าพเจ้าต้องการพิสูจน์หาความเป็นสัตว์ในตัวคน เป็นผลมาจากข้าพเจ้าได้อ่านตำราเล่มหนึ่งซึ่งพูดถึงเรื่องนี้ไว้อย่างละเอียดลออ แต่ข้าพเจ้าเป็นคนที่ถือคติว่า ถ้าไม่อาจพิสูจน์ให้เห็นด้วยตา ทุกสิ่งอย่างก็เป็นเพียงคำกล่าวอ้างลอยๆ
ดังนั้นแล้ว ข้าพเจ้าจึงได้นำเอาบรรดาทาสทั้งหลายทั้งที่ยังไม่ยอมเป็นไทจํานวนสี่ห้าคนมาทำการทดลอง ข้าพเจ้านำพวกมันมาเลี้ยงไว้ในห้องปิดตายใต้พื้นห้องทำงาน จัดหาอาหาร เครื่องดื่ม และเครื่องแต่งกายแบบบรรดาผู้ดีให้พวกมันได้สวมใส่
ข้าพเจ้าอ่านหนังสือให้พวกมันฟัง บางครั้งถึงกับจัดงานสังสรรค์ และจ้างมหรสพมาให้พวกมันดู แลเผินๆ เจ้าทาสกลุ่มนี้ก็ไม่ต่างจากบรรดาผู้ดีในงานสังสรรค์ทั้งหลายที่ข้าพเจ้าเคยได้พบเห็นตามราตรีสโมสรต่างๆ
ผ่านไประยะเวลาหนึ่ง พวกมันสามารถสวมบทบาทของผู้ดีได้อย่างแนบเนียน บางคนถึงกับพูดจาส่อเสียดล้อเลียนข้าพเจ้าจนใครมาเห็นเข้าก็จะไม่เชื่อว่าพวกมันเคยเป็นทาส ข้าพเจ้าต้องสั่งให้ให้พวกบ่าวไพร่ลากพาพวกมันไปเฆี่ยนโบยจนสงบปากสงบคำลง
มีอยู่หนหนึ่งนั้น เจ้าทาสหน้าอัปลักษณ์สวมสูทและผูกโบว์ไทสีดำเดินเชิดหน้ามาโต้เถียงกับข้าพเจ้าเรื่องความสมภาคและเสรีภาพ กระทั่งเทศนาสั่งสอนว่า เหตุใดข้าพเจ้าจึงควรปฏิบัติแก่พวกมันอย่างมนุษย์ผู้เท่าเทียมกัน ข้าพเจ้าก็ได้แต่ให้มันพูดของมันไปเรื่อยๆ ก่อนจะงัดเอาหางกระเบนที่ขัดไว้ข้างเอวออกมาหวดใส่พวกมันจนเลือดนองพื้นห้อง
ข้าพเจ้าได้ปล่อยให้พวกมันสังสรรค์และซึมซับอารยธรรมเข้าไปจนถึงจุดที่คิดว่า ถ้าข้าพเจ้าริบมันคืนกลับมา มันจะส่งผลอย่างไรบ้างในตัวของพวกมัน และก็เป็นจริงดั่งตำราว่า พวกมันเริ่มทนทุกข์ทรมานและรับไม่ได้กับการกลับกลายไปเป็นทาสอีกหน
ข้าพเจ้าเปลี่ยนกิจกรรมสังสรรค์ทั้งหลายให้เป็นการใช้แรงทำงาน อย่างทารุณ หรือการจับมาทรมานและลงโทษอย่างไร้ซึ่งเหตุผล
ไม่มีอีกแล้วห้องเต้นรำ ไม่มีอีกแล้วเสียงดนตรี จะมีก็แต่เครื่องจักรสาน สากตำข้าว และเสียงกรีดร้องโหยหวนจากพวกมันตลอดทั้งวันทั้งคืน
ข้าพเจ้าตัดมื้ออาหารและความสะดวกสบายทุกอย่างออกไป แม้แต่พื้นที่สำหรับขับถ่าย พวกมันยังต้องจัดการธุระหนักเบาแบบเดียวกับสัตว์ในคอก เมื่อความบันเทิงหมดสิ้นก็เหลือแต่งานที่ไม่มีวันสิ้นสุด เครื่องปลุกปลอบใจเพียงอย่างเดียวที่พวกมันมีคือการไม่ต้องถูกเฆี่ยนตี
ข้าพเจ้าจึงได้เริ่มเห็นความเป็นสัตว์ในตัวพวกมันเด่นชัดขึ้น จนสามารถเรียกได้ว่าเจ้าทาสที่กำลังจะตายด้วยความอดอยาก โกรธแค้น และเจ็บปวดนั้นคือสัตว์ในร่างของคนที่ถูกทรมานและกดขี่
ทุกวันนี้ถ้าท่านถามพวกมัน แน่นอนก็ด้วยภาษาที่ทุกท่านใช้กันอยู่นั้นแหละว่า พวกมันยังอยากเป็นไทอยู่อีกหรือไม่ พวกมันก็จะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นทาสก็ดีอยู่แล้ว
แน่นอนข้าพเจ้ารู้ดีว่าความเป็นสัตว์ในตัวคนสามารถทำอะไรได้บ้าง ฉะนั้นเพื่อมิให้พวกมันมีโอกาสแก้แค้น ข้าพเจ้าจึงขังพวกมันต่อไป
หากถามว่า ข้าพเจ้าเชื่อในความเป็นมนุษย์ หรือความเป็นสัตว์ประเสริฐหรือไม่ ข้าพเจ้าขอพูดเลยว่า ข้าพเจ้าไม่เชื่อ และไม่คิดว่าเราจะเป็นสัตว์ประเสริฐเหมือนๆ กัน
เช่นนั้นแล้วข้าพเจ้าเชื่ออะไร ข้าพเจ้าเชื่อในความเป็นคนดี ความเหนือกว่าคนอื่นๆ อย่างไม่กังวลสงสัย
ท่านอาจกังขาว่า ข้าพเจ้าเอาเกณฑ์อะไรมาวัดความเป็นคนดี คำสอนทางศาสนา ปรัชญา หรือหลักจริยศาสตร์ใด ข้าพเจ้าขอตอบว่า ก็ตัวข้าพเจ้าเองเท่านั้นแหละ ข้าพเจ้าไม่ให้ใครมาตัดสินเรื่องนี้แทนข้าพเจ้าหรอก.