มลายูที่รู้สึก

ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ เขียน
Summer Panadd วาด

[To read “Melayu as is felt” in English translation with an introduction, click here]

คัดจาก มลายูที่รู้สึก (ปาตานีฟอรั่ม, 2558) หน้า 2-8


ปาเยาะห์เนาะยาดีนายู
มันยากที่จะเป็นมลายู

กลางปี พ.ศ. 2548 ผมมีโอกาสเดินทางไป จ.ปัตตานี และได้รู้จักกับกลุ่มคนที่พูดภาษามลายู และนับถือศาสนาอิสลามเป็นครั้งแรก ด้วยความรู้เพียงน้อยนิดที่ติดตัวไปทำให้ทราบว่าคนกลุ่มนี้ เรียกตัวเองว่า “ออแฆนายู” แต่ตัวผมตอนนั้นไม่ใคร่จะสนใจนักว่าความเป็น “นายู” หรือ “มลายู” มีความหมายต่อความรู้สึกนึกคิดของเขาและเธออย่างไร รู้เพียงว่าตนได้ย่างเท้าเข้าไปในสถานที่อันตรายและเต็มไปด้วยความรุนแรง

ปัตตานีในห้วงเวลาดังกล่าวมีความเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะถูกเรียกว่า “วิกฤตการณ์ภาพตัวแทน” (Crisis of Representation) เพราะทั้งผมหรือคนทั่วไปไม่มีทางรับรู้ความจริงในด้านอื่นได้เลย นอกเหนือไปจากภาพของแดนมิคสัญญีซึ่งมีผู้เสียชีวิตรายวันจากการลอบวางระเบิดและการซุ่มโจมตี คำว่า “สามจังหวัดชายแดนภาคใต้” อันหมายถึง ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส (รวมไปถึงบางส่วนของ จ. สงขลา) ถูกกล่าวถึงในฐานะเขตแดนทางภูมิศาสตร์ที่ทั้งแปลกปลอมและเป็นอันตรายต่อรัฐไทย

ณ เวลานั้น บรรยากาศของความหวาดระแวงได้เข้าปกคลุมชีวิตประจำวันของคนในภูมิภาคอื่นมากขึ้น ผู้โดยสารบนรถขนส่งสาธารณะในกรุงเทพฯ มักจะจับจ้องเพื่อนร่วมทางซึ่งเป็นมุสลิมด้วยสายตาสำรวจตรวจตราเป็นพิเศษ คนขับแท็กซี่มักจะก่นด่า “พวกมุสลิมในภาคใต้” ให้ฟังอยู่เสมอ พร้อมกับการรายงานข่าวทางวิทยุคลื่นต่างๆ ซึ่งเต็มไปด้วยโศกนาฏกรรม และเสียงผรุสวาทของผู้โทรศัพท์มาแสดงความคิดเห็น บางคนถึงกับพูดว่า “ทำไมสึนามิถึงไม่ไปถล่มที่ปัตตานีเสียให้หมด ๆ ไป”

ทั้งนี้ ยังไม่นับรวมประสบการณ์ในต่างประเทศซึ่งเพื่อนของผมเล่าให้ฟังว่าขณะที่เธอกำลังจะเดินทางมาประเทศไทยเพื่อเขียนรายงานเกี่ยวกับความรุนแรงที่ปัตตานี บรรดาพ่อ แม่ และเพื่อนฝูงของเธอที่เดินทางมาส่งในบริเวณสนามบินต่างพูดหว่านล้อมและขอร้องให้เธอเปลี่ยนใจทั้งน้ำตาราวกับเป็นการพบกันครั้งสุดท้าย

แน่นอน ทุกคนในสังคมไทยและสังคมโลกต่างรับรู้ว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นใน “สามจังหวัดชายแดนภาคใต้” นั้นมีอยู่จริง แต่ในทางตรงกันข้าม ผู้คนจำนวนมากมิได้รับรู้และวินิจฉัยปรากฏการณ์อย่างตรงไปตรงมา ทั้งยังเข้าใจอย่างเหมารวม (stereotype) ผ่านมายาคตินานาประการ อาทิ คนไทยจำนวนมากยังคงเข้าใจว่ามุสลิมกับ “แขก” คือพวกเดียวกัน ทั้งยังเป็นบุคคลที่มีความน่ากลัว ไม่น่าไว้วางใจ (ตามสำนวนที่ว่า “เจองูกับแขก ให้ตีแขกก่อน”) หรือการพยายามเชื่อมโยงมลายูมุสลิมในประเทศไทยกับกลุ่มอิสลามหัวรุนแรง (Islamic Fundamentalist) ในสงครามก่อการร้าย

ทั้งนี้ รวมไปถึงการเพ่งพินิจเครื่องแต่งกาย การคลุมฮิญาบของสตรีมุสลิม การไว้หนวดเครา วัตรปฏิบัติทางศาสนา (การละหมาดวันละ 5 ครั้ง การไม่รับประทานหมู และการนับถือพระเจ้าเพียงองค์เดียว) ที่แตกต่างจากคนในภูมิภาคอื่น ๆ จนกลายเป็นข้อสงสัยใน “ความต่าง” ภายใต้กระแสชาตินิยมที่เน้นย้ำ “ความเหมือน” เช่นทุกวันนี้ ความแตกต่างถูกมองว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมที่ดูเป็นอันตราย จึงไม่น่าแปลกใจที่คำว่า “โจรใต้” หรือ “ผู้ก่อการร้าย” จะแพร่หลายอย่างรวดเร็วเพื่อเป็นคำตอบของทุก ๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

การแก้ไขปัญหา “สามจังหวัดชายแดนภาคใต้” ได้เกิดขึ้นมากมายหลายรูปแบบในชั่วเวลาไม่นาน กองกำลังทหารจำนวนมากได้ถูกส่งไปตรึงกำลังในแต่ละจุดของ “พื้นที่เสี่ยง” ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับการจัดตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์แห่งชาติ การเข้าไปทำงานของนักพัฒนาจากภาครัฐและเอกชน เพื่อสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นในกลุ่มผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ความรุนแรงภายใต้ความคิด “สมานฉันท์สันติ” ไม่นานนักโครงการพัฒนาต่าง ๆ ก็ได้ระดมเข้าไป หมายสร้างพลังเข้มแข็งให้กับ “ชาวบ้าน” ให้พ้นไปจากความยากจน ภาวะตกงานและไร้การศึกษา ขณะที่โครงการวิจัยจากสถาบันทางวิชาการที่มีชื่อเสียงจำนวนมากได้ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ดเพื่อ “ค้นหาความจริง” พร้อมทั้งจัดเวทีเสวนาขนาดใหญ่หลายต่อหลายครั้งเพื่อนำเสนอข้อค้นพบใหม่อย่างครึกโครม ทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องพหุวัฒนธรรมนิยมและเอกภาพแห่งอำนาจรัฐ

ทั้งหมดนี้ คือภาพรวมที่เกิดขึ้นภายในระยะเวลาไม่ถึงสองปีนับจากเหตุการณ์ปล้นปืนในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2547 ซึ่งถือว่าเป็นปฐมบทของความรุนแรงในทัศนะของรัฐ แต่สำหรับผู้เฝ้ามองความเปลี่ยนแปลงอยู่ห่าง ๆ เช่นผม แม้จะ “รู้ร้อนรู้หนาว” อยู่บ้างกับสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่ต่างอะไรไปจากความเป็นห่วงที่ “เพื่อนมนุษย์” และ “คนไทย” มีต่อกัน จะพิเศษออกไปบ้างเมื่อติดตามข่าวสารและทราบถึง “ความไม่เป็นธรรม” ที่คนมลายูมุสลิมได้รับในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ปัญหาการเข้าไม่ถึงทรัพยากรทั้งทางทะเลและป่าไม้ การเข้าไม่ถึงการศึกษาและการเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาเป็นต้น แต่นี่คือปัญหาร่วมที่ผู้คนจำนวนมากในสังคมไทยและผู้คนทั่วโลกกำลังเผชิญหน้าอยู่มิใช่ปัญหาเฉพาะของที่ใดที่หนึ่ง

กล่าวตามตรง ผมพึ่งได้ตระหนักถึงความหมายและความสำคัญของความเป็น “นายู” หรือ “มลายู” ในความรู้สึกนึกคิดของคนมลายูมุสลิมเองภายในร้านน้ำชาเล็กๆ กลางกำปง (บ้าน/ชุมชน) แห่งหนึ่งริมอ่าวไทยเมื่อเพื่อนมลายูของผมกลุ่มหนึ่งเอ่ยให้ฟังถึงเรื่องราวซึ่งพวกเขาลำบากใจที่จะพูด ด้วยสีหน้าหม่นเศร้าว่า “คนที่นี่เป็นคนไทยหรือนายู แบ(พี่) ช่วยบอกหน่อยสิว่าคนไทยกับคนนายูต่างกันอย่างไร” ในขณะที่ผมซึ่งเป็นผู้ถูกคาดหวังให้ตอบคำถามต้องนิ่งงันไปกับคำถามซึ่งปกติไม่ค่อยมีใครหยิบยกขึ้นมาถาม

ย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นราว 2 ชั่วโมงเศษ ขณะที่ผมกำลังว่ายน้ำในบริเวณชายหาดหน้ากำปงซึ่งปกติมักจะเป็นที่รวมตัวของเด็ก ๆ ทว่ายามนี้กลับเงียบเหงาผิดปกติ มีเพียงคนหาปลากำลังซ่อมเรืออยู่เพียงลำพัง เมื่อว่ายไปได้สักพักผมจึงรู้สึกว่าทั้งลมและคลื่นวันนั้นแรงกว่าทุก ๆ วัน ส่วนน้ำทะเลก็เริ่มปรากฏสีขุ่น

มองขึ้นไปบนฟ้า ผมเห็นแต่สีแดงระเรื่อในฝั่งตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ที่ใกล้ตกดินเต็มที ยิ่งผสานกับเสียงลมกรีดอากาศและเสียงคลื่นกระทบฝั่งที่ออกทำนองโหยหวนด้วยแล้ว มันทำให้อดคิดถึงเรื่องชวนสลดอย่างเลี่ยงไม่ได้ ผมจึงรีบว่ายน้ำขึ้นฝั่งและพบว่าบริเวณชายหาดมีคนรอผมอยู่แล้วสองคน หนึ่งในนั้นพูดแข่งกับเสียงลมที่เริ่มกรรโชก ทำนองให้ผมรีบกลับบ้านทันทีเพราะมรสุมกำลังจะเข้า จากนั้นเขาทั้งสองก็รีบไปเตือนคนกลุ่มอื่นให้รีบขึ้นจากน้ำหรือไม่ให้ออกทะเลด้วยเรือขนาดเล็ก

ขณะที่ผมกำลังสาละวนกับการเก็บของที่ชายหาดและวิ่งฝ่าพายุฝนเข้าบ้านพัก มรสุมลูกนั้นได้พัดเข้ามาในบริเวณอ่าวซึ่งคนส่วนใหญ่ในชุมชนแห่งนี้กำลังออกเรือหาปลากันอยู่ ส่งผลให้คลื่นกลืนเรือลำหนึ่งม้วนหายไปต่อหน้าต่อตาชาวประมงทุกคนที่กลับคืนฝั่งทัน ทุกคนยืนยันว่าเห็นเจ้าของเรือลำนั้นกับลูกชายกำลังลอยคออยู่กลางทะเล และพยายามตะเกียกตะกายว่ายน้ำฝ่าคลื่นลมที่รุนแรงเพื่อรักษาชีวิต จึงช่วยกันโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากตำรวจน้ำซึ่งมีเรือลำใหญ่สามารถต้านลูกคลื่นได้ แต่คู่สายปลายทางพยายามบ่ายเบี่ยงและปฏิเสธการมาช่วยเหลือ ชาวประมงที่เห็นเหตุการณ์ พยายามติดต่อขอความช่วยเหลือจากทุกทางแต่ก็ได้รับคำตอบในแบบเดียวกัน กระทั่งการร้องขอเริ่มหมดหวัง ทุกคนเห็นชายเจ้าของเรือหมดแรงและถูกคลื่นกลืนหายไปต่อหน้าต่อตา ส่วนลูกชายที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสามารถว่ายกลับขึ้นฝั่งได้อย่างหวุดหวิด หลังจากทะเลสงบลง ศพของชายเจ้าของเรือ ถูกพบในบริเวณริมหาดปะปนไปกับกอหญ้าทะเลและเศษโคลน…

“ตอบไม่ได้หรอกแบ ไม่รู้จริง ๆ แล้วแบคิดยังไง” ผมถามกลับเพราะจนมุมด้วยบรรยากาศที่อึมครึมภายในร้าน ควันยาสูบใบจากลอยอ้อยอิ่งเหนือหัว

“คนนายูไม่มีสิทธิน่ะสิ ยิ่งคนนายูจน ๆ ยิ่งไม่มีสิทธิ รู้มั้ยขนาดไฟไหม้หมู่บ้านคนไทยกับคนนายูพร้อมกัน เขายังไปดับที่บ้านคนไทยก่อนเลยทั้ง ๆ ที่บ้านคนนายูอยู่ใกล้กว่า อย่างเรื่องจมน้ำเมื่อกี้นี้ก็เหมือนกัน หากมีเรือใหญ่มาช่วยอย่างน้อยก็น่าจะรอดชีวิต แล้วตอนนี้ลูกกับเมียของเขาจะอยู่กันยังไง” ชายคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยสีหน้ายากที่จะบรรยาย

สักพักเสียงสนทนาภายในร้านก็ค่อย ๆ แผ่วลงปล่อยให้ความเงียบและเสียงถอนหายใจเข้ามาแทนที่…

เพียงชั่วควันยาสูบจางกลิ่น บางคนเริ่มระบายให้ผมฟังถึงความอึดอัดคับข้องใจหลายอย่างในชีวิตนอกเหนือไปจากความยากลำบากทางเศรษฐกิจ นับตั้งแต่การถูกจ้องมองจากคนไทยว่าพวกตนเป็น “พวกเคร่งศาสนา” เต็มไปด้วยข้อห้ามสารพัดอย่าง ตั้งแต่อาหารการกินจนไปถึงการแต่งกาย ทำให้ถูกเหน็บแนมอยู่เสมอว่าเป็นพวกเรื่องมากและทำตัวไม่เหมือนคนอื่น ๆ ทั้งที่ประเด็นทางศาสนานี้ ภายในชุมชนของพวกเขาเองยังคงถกเถียงกันไม่จบไม่สิ้นว่าใครเป็นอิสลามที่บริสุทธิ์กว่ากัน เพราะในศาสนาอิสลามเองก็มีการตีความหลักศาสนาต่างกันออกไป คนบางกลุ่มซึ่งเรียนจบศาสนาขั้นสูง จากประเทศแถบตะวันออกกลางก็มองว่าชาวบ้านในกำปงเป็นพวกหละหลวมในวัตรปฏิบัติ และมีความเข้าใจศาสนาที่คลาดเคลื่อน ขณะที่คนในกำปงต่างยืนยันว่าศาสนาที่เขาและเธอปฏิบัติอยู่ก็ไม่ผิดอะไร และบ่อยครั้งที่การโต้เถียงนำไปสู่การวิวาทขัดแย้งภายในชุมชน

“คนนายูยังคิดไม่เหมือนกันเลย เราจะไว้ใจใครได้หากไม่ใช่คนรู้จักกันจริง ๆ นับประสาอะไรจะไปพึ่งพาเจ้าหน้าที่” ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้น ถ้อยคำบอกเล่ามิได้มีเพียงความอึดอัดคับข้องใจเท่านั้น

ยังมิต้องเอ่ยถึงความใฝ่ฝันในหลายด้านของพวกเขาและเธอที่ไม่ได้แตกต่างไปจาก “คนไทย” และคนอื่นๆ ทั่วโลก หลายครอบครัวปรารถนาให้ลูกเรียนหนังสือสูง ๆ จะได้มีงานทำที่มั่นคงไม่ต้องออกทะเลให้ลำบาก บางครอบครัวปรารถนาให้ลูกรับราชการไม่ว่าจะเป็นครู ทหาร หรือตำรวจ ด้วยเหตุผลที่ต่างกันไป พร้อม ๆ กับต้องการที่จะเป็น “มุสลิมที่ดี”

แต่ท่ามกลางการแยกขั้วไม่ลงรอยกันระหว่างความเป็นไทยกับความเป็นมลายู กลับไม่เหลือที่ว่างให้กับวิถีชีวิตและความคิดที่แตกต่างออกไปได้ พวกเขาและเธอไม่สามารถแสดงออกถึงความปรารถนาและแสดงตัวตนออกมาได้อย่างชัดเจน หลายคนจึงเลี่ยงที่จะกล่าวถึงเรื่องราวเหล่านี้ รวมไปถึงการไม่พยายามพบปะผู้คนที่ไม่คุ้นเคย และคงปล่อยให้ชีวิตในส่วนนี้ค่อย ๆ จางหายไปเองราวกับเรือที่รอการปลดระวาง มีเพียงบทสรุปชีวิตจากชายคนหนึ่งซึ่งอาจแทนความรู้สึกร่วมของทุก ๆ คนในร้านได้ระดับหนึ่ง เขาเอ่ยกับผมเบา ๆ ว่า “จริง ๆ นะ มันไม่ง่ายเลยแบ ที่เกิดเป็นนายู…”

Leave a comment