ความคิดทางชนชั้นกับการปฏิวัติแบบเพ้อฝัน

สมัคร บุราวาส, กุหลาบ สายประดิษฐ์, และสุภัทร สุคนธาภิรมย์ บรรยายในเรือนจำ
สุพจน์ ด่านตระกูล เขียน
Summer Panadd วาด

[To read “Suphot Dantrakul and the Material of Revolution” in English translation with an introduction, click here]

คัดจาก สุพจน์ ด่านตระกูล, ปทานุกรมการเมืองฉบับชาวบ้าน (สำนักพิมพ์สันติธรรม, 2528) หน้า 114-124 และ 90-93
ต้นฉบับเขียนขึ้นราว 30 ปีก่อนหน้านั้นท่ามกลางบรรยากาศของการเรียนรู้ทฤษฎีการเมืองในเรือนจำ ดังที่ผู้เขียนได้กล่าวไว้ในคำขึ้นต้นว่า

ก่อนอื่นใดทั้งหมด ผมต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจและอัยการทุกๆท่าน ที่มีส่วนในการช่วยเหลือปลุกปล้ำให้ผมได้มีโอกาสเข้าคุก ในฐานะเป็นจำเลยคดีขบถภายในและภายนอกราชอาณาจักร หรือที่เรียกกันว่า กบถ 10 พ.ย. (2495) และในโอกาสนี้ผมเว้นเสียมิได้ที่จะขอขอบคุณคณะท่านผู้พิพากษาศาลอาญาผู้นั่งพิจารณาคดีนี้ด้วย ที่ได้กรุณาไม่อนุญาตให้จำเลยในคดีนี้ได้มีประกันตัวไปในระหว่างพิจารณาของศาลนั้น ผมขอขอบคุณท่านทั้งหลายที่กล่าวมานี้ด้วยความจริงใจ

ด้วยความกรุณาของท่านเจ้าหน้าที่ฝ่ายตำรวจ อัยการ และศาลดังกล่าวนี้แหละ ได้อำนวยให้ผมมีความคิดที่จะเขียน “ปทานุกรมการเมืองฉบับชาวบ้าน” และครั้นแล้วต้นฉบับของ “ปทานุกรมการเมืองฉบับชาวบ้าน” ก็ได้มีโอกาสสำเร็จขึ้นภายในกำแพงคุก แต่อย่างไรก็ดี ถ้าหากว่าผมไม่ได้รับการนิรโทษกรรมเมื่อคราวฉลองกึ่งพุทธศตวรรษปี พ.ศ. 2500 ปทานุกรมฉบับนี้ก็คงจะไม่มีโอกาสเสนอตัวออกสู่สายตาประชาชน และคงจะไม่มีโอกาสได้รับเกียรติมาอยู่เฉพาะหน้าของท่าน ณ บัดนี้ เป็นแน่แท้ ต้นฉบับลายมือยุ่งๆไม่ค่อยจะเป็นระเบียบคงจะยังนอนอยู่ในกล่องครีมแครกเกอร์ ซึ่งฝังตัวอยู่ในดินภายในกำแพงแดน 6 แห่งเรือนจำกลางบางขวางอย่างไม่ต้องสงสัย และบางทีมันอาจถูกฝังอยู่เช่นนั้นตลอดไป ตราบเท่าที่ผมยังคงถูกจองจำอยู่ ณ ที่นั้น หรือบางทีร้ายกว่านั้นมันอาจจะถูกฝังจนกลายเป็นศพไม่มีญาติไปเสียเลยก็ได้ ใครจะไปรู้ ในเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกผม 20 ปี แต่ลดฐานให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาของศาลลง 1 ใน 3 คงเหลือ 13 ปี 4 เดือน ตามความผิดที่ท่านเรียกว่าขบถภายในราชอาณาจักร แต่โจทก์ท่านยังไม่พอใจ จึงได้ยื่นอุทธรณ์ให้ศาลลงโทษผมในข้อหาขบถภายนอกราชอาณาจักร เพิ่มขึ้นอีกกระทงหนึ่งตามฟ้องของโจทก์ ซึ่งคดีก็ยังคาราคาซังอยู่ในศาลอุทธรณ์จนกระทั่งได้รับการนิรโทษกรรม

ด้วยประการนี้ ผมจึงขอแสดงความคารวะเป็นอย่างสูง และขอขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อทุกๆวงการ อันมีวงการประชาชน, วงการหนังสือพิมพ์, วงการรัฐบาล, วงการสภาผู้แทนราษฎร และทุกๆท่านที่มีส่วนผลักดันให้มีการนิรโทษกรรมในครั้งนี้

อนึ่งความสำเร็จของหนังสือเล่มนี้ ผมเว้นเสียมิได้ที่จะต้องขอขอบคุณ คุณสมัคร บุราวาส คุณกุหลาบ สายประดิษฐ์ และคุณสุภัทร สุคนธาภิรมย์ ที่ในระหว่างติดคุกอยู่ด้วยกันที่บางขวาง ท่านได้ช่วยกันบรรยายความรู้แขนงต่างๆที่ท่านได้ศึกษามา และ “ปทานุกรมการเมืองฉบับชาวบ้าน” ก็คือส่วนหนึ่งของความรู้ที่ได้จากการบรรยายของท่านทั้งสาม และรวมทั้งความรู้ที่ได้จากปรมาจารย์ทางวิทยาศาสตร์สังคมทั้งหลาย จึงต้องขอขอบคุณทุกท่านที่กล่าวนามมาและทั้งที่ไม่ได้ระบุนามให้ปรากฏไว้ในโอกาสนี้ด้วย


ความคิดทางชนชั้น

พร้อมกับการเติบโตของการผลิตแบบนายทุน การขัดกันในทางสัมพันธ์แบบศักดินาก็ได้อุบัติขึ้น กล่าวคือในการผลิตแบบใหม่นั้น ทุนเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในทางปฏิบัติ ซึ่งในระบอบเศรษฐกิจศักดินามิได้ถือเช่นนั้นตามที่เราได้เห็นมาแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงเกิดการปะทะกันระหว่างความคิดต่างๆที่กำเหนิดขึ้นมาจากระบอบเศรษฐกิจสองรูปนั้นเป็นต้นว่าความคิดที่อุบัติขึ้นมาจากระบอบเศรษฐกิจแบบนายทุนไม่รับนับถือความคิดแบบขลังในเรื่องเทวสิทธิ์ของกษัตริย์ แต่ถือคติว่า “จะเก็บภาษีจากราษฎรโดยราษฎรไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้” (NO TAXATION WITHOUT REPRESENTATION) ความคิดแบบใหม่ต้องการสิทธิ์ในการค้าขายอย่างเสรี และต้องการจินตนาภาพทางศาสนาอันใหม่ ซึ่งเทอดทูลสิทธิ์ของเอกชนยิ่งขึ้นและลดอำนาจควบคุมของส่วนกลางลงมา อย่างไรก็ดีพฤติการณ์ที่แสดงออกประหนึ่งว่าพวกอิสระชนได้ต่อสู้อย่างยอมพลีชีวิต เพื่อสิทธิและแบบทางศาสนาอันเป็นเรื่องนามธรรมนั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นการต่อสู้ของระบอบสองรูป คือระบอบเศรษฐกิจแบบนายทุนที่เติบใหญ่ขึ้นมา กับระบอบเศรษฐกิจแบบศักดินาที่กำลังวอดวายไป ส่วนการปะทะกันในทางความคิดนั้นเป็นแต่เหตุขั้นรองลงมา

ด้วยเหตุผลดังประจักษ์อยู่นี้ นักวิทยาศาสตร์แห่งประวัติศาสตร์จึงไม่กำหนดหลักการจำพวกที่เป็นนามธรรมเพื่อจัดระเบียบสังคม ดุจที่พวกนักเขียนฝ่ายอุดมคติกระทำกัน วิทยาศาสตร์แห่งประวัติศาสตร์พิจารณาว่า บรรดา “หลัก” จำพวกนั้นและดังที่ได้ปรากฎขึ้นในความคิดของมนุษย์นั้นเพียงแต่เป็นเงาสะท้อนออกมาจากการจัดระเบียบสังคม ที่เป็นอยู่ในสมัยหนึ่งและในสถานที่หนึ่งเท่านั้น และ “หลักการ” เช่นกล่าวนั้นจะไม่อาจอำนวยผลดีให้เสมอไปและในที่ทั่วไป ยิ่งกว่านั้น ความคิดบางอันซึ่งดูเหมือนว่าเป็นความคิดสากล เช่นความคิดในเรื่องความเสมอภาคของมนุษย์นั้น ในความเป็นจริงแล้วก็มิได้หมายความอย่างเดียวกัน ในสังคมที่ต่างยุคต่างสมัยกัน เช่[น]ในยุคนครรัฐของกรีก ความคิดในเรื่องสิทธิเสมอภาคของมนุษย์ หาได้คลุมไปถึงพวกทาสไม่ และคำขวญ “เสรีภาพ, สมภาพและภราดรภาพ” ของการปฏิวัติฝรั่งเศสอันเกรียงไกรนั้น ก็หมายถึงแต่เพียงว่าเสรีภาพที่จะค้าขายได้โดยเสรีของชนชั้นนายทุนที่เติบใหญ่ขึ้นมา หมายถึงความเสมอภาคของชนชั้นนายทุนที่เพิ่งแตกหน่อและหมายถึงภราดรภาพของชนชั้นที่ร่วมอยู่ในชั้นนายทุนด้วยกัน คือการร่วมมือช่วยเหลือกันต่อต้านการกดขี่และการกำจัดสิทธิ ซึ่งชนชั้นเจ้าขุนมูลนายศักดินาบีบบังคับพวกเขา

ด้วยประการฉะนี้ เราจึงอาจเห็นได้ว่าความคิดส่วนมาก เฉพาะอย่างยิ่งความคิดที่เกี่ยวเนื่องกับการจัดระเบียบสังคมนั้น เป็นความคิดทางชนชั้น คือเป็นความคิดของชนชั้นที่มีอำนาจครอบงำสังคม ซึ่งชนชั้นที่มีอำนาจได้นำออกใช้บังคับแก่ชนชั้นอื่น ๆ ในสังคมนั้น โดยอาศัยเครื่องมือทางโฆษณาการที่ชนชั้นนั้นได้ครอบครองอยู่ อาศัยการควบคุมการศึกษา และอาศัยอำนาจที่จะลงทัณฑ์แก่การแสดงความคิดเห็นที่ขัดแย้งกับของตนโดยทางศาล โดยการปลดเสียจากตำแหน่ง และโดยวิธีการอื่น ๆ ทำนองเดียวกันนั้น

การปฏิบัติดังกล่าวนี้มิได้หมายความว่า ชนชั้นที่มีอำนาจครอบงำสังคมอยู่นั้น จะรำพันกับตัวเขาเองว่า “ความคิดที่เรานำออกใช้นี้ แท้จริงนั้นหาประกอบด้วยสัจจะไม่ แต่เราจะบังคับให้คนทั้งหลายเชื่อถือ หรืออย่างน้อยก็จะต้องไม่แสดงปฏิเสธโต้แย้งออกมาอย่างเปิดเผย” ความจริงการณ์ก็จะกลับเป็นอีกอย่างหนึ่ง เพราะว่าความจริงแล้วชนชั้นที่มีอำนาจอยู่นั้น หาได้เป็นผู้ประดิษฐ์ความคิดเหล่านั้นขึ้นมาไม่ หากความคิดเหล่านั้นได้อุบัติขึ้นมาเองตามแบบแผนการปกครองที่เป็นอยู่ในเวลานั้น เช่นแบบแผนที่กำหนดอำนาจให้แก่นักอุตสาหกรรมผู้มั่งคั่ง ซึ่งได้รับสถาปนาขึ้นเป็นขุนนาง นั่นแหละเป็นมูลฐานให้เกิดความคิดที่ว่าพวกผู้ดีแปดสาแหรกย่อมมีความยิ่งใหญ่กว่าคนทั้งหลายโดยธรรมชาติ ครั้นความคิดเช่นนั้นได้อุบัติขึ้นมาและยืนยงอยู่แล้ว พวกชนชั้นที่มีอำนาจอยู่ในเวลานั้นก็จะถือเป็นกิจสำคัญที่ตนจะต้องแน่ใจ ว่าคนทั้งหลายยอมรับนับถือความคิดดังกล่าวนี้ เพราะว่าคนทั้งหลายถ้าไม่ยอมรับความคิดดังกล่าวก็จะหมายถึงว่าคนเหล่านั้นจะไม่ปฏิบัติให้สอดคล้องกับความคิดที่เป็นอยู่ เป็นต้นว่า ประชาชนก็แสดงอหังกาต่อเทวสิทธิ์ของกษัตริย์ ชนชั้นที่มีอำนาจไม่ว่าในยุคใดสมัยใดและในประเทศใด ย่อมกระทำการทุกอย่างเท่าที่จะกระทำได้ ในอันที่จะป้องกันมิให้ “ความคิดที่เป็นภัย” แพร่หลายไปในหมู่ชน

อาจมีผู้ถามขึ้นว่า ถ้าความคิดเป็นแต่ข้อเท็จจริงขั้นรอง และถ้าข้อเท็จจริงขั้นแรกและขั้นสำคัญจะต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงทางวัตถุในแบบการผลิตเสมอไปแล้ว “ความคิดที่เป็นภัย” จะอุบัติขึ้นมาได้อย่างไรเล่า หรือกล่าวอย่างสั้น ๆ ว่า ประชาชนจะคิดถึงแบบการผลิตใหม่ก่อนที่มันจะอุบัติขึ้นมาอย่างไรเล่า

ต่อข้อสงสัยดังกล่าวข้างบน ท่านนักวิทยาศาสตร์สังคมได้ชี้แจงไว้ว่า ประชาชนไม่อาจคิดถึงมันก่อนหน้าที่ภาวะการณ์อันแสดงถึงความเป็นอยู่ของมันจะได้ปรากฏเป็นรูปร่างออกมา แต่ประชาชนจะถูกปลุกปล้ำให้คิดถึงมันเอง เมื่อภาวะการณ์ดังกล่าวได้ปรากฏรูปโฉมออกมา โดยปะทะกันระหว่างภาวะการณ์เก่าและกำลังใหม่ในการผลิตนั่นเอง

ท่านบัณฑิตย์ทางประวัติศาสตร์อังกฤษอีกท่านหนึ่งได้อ้างตัวอย่างอีกว่า เมื่อการผลิตได้อาศัยแรงงานรับจ้างได้เติบโตขึ้นมา และเกิดความจำเป็นจะขายผลิตผลเพื่อผลกำไร พวกนายทุนยุคเริ่มแรกจึงต้องมาเผชิญอย่างรุนแรงกับข้อจำกัดสิทธิต่าง ๆ ในทางการค้า ที่ระบอบศักดินาได้กำหนดขึ้นไว้ ด้วยประการดังนั้น ความคิดในเรื่องอิสระภาพจากการจำกัดสิทธิ์ ความคิดในเรื่องที่จะมีสิทธิมีเสียงในการกำหนดภาษีและในเรื่องอื่น ๆ จึงได้อุบัติขึ้น โดยระยะนั้นภาวะของสังคมยังไม่ได้เปลี่ยนรูปมาเป็นสังคมนายทุน เป็นแต่ได้มีอาการอันจะนำไปสู่สังคมนายทุนปรากฏขึ้น และจากอาการดังกล่าวนี้แหละความคิดในเรื่องเศรษฐกิจแบบนายทุนได้ปรากฏออกมา

ทั้งนี้ก็เป็นเช่นเดียวกับความคิดในเรื่องเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม คือความคิดรูปสังคมนิยมแบบวิทยาศาสตร์ (SCIENTIFIC SOCIALISM IDEAS) ซึ่งตรงกันข้ามกับความคิดรูปสังคมนิยมแบบเพ้อฝัน (UTOPIAN SOCIALISM IDEAS) จะอุบัติขึ้นมาได้ก็ต่อเมื่ออาการของสังคมนิยมได้คลี่คลายออกไป เวลาที่อาการหรือภาวะการณ์ของรูปแบบสังคมคลี่คลายออกไปนั้น หมายถึงเวลาที่ผลิตกรรมขนาดใหญ่ได้แผ่กว้างออกไป และหมายถึงเวลาที่เห็นกันชัดแจ้งแล้วว่า ลัทธิเศรษฐกิจแบบนายทุนได้กลายเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งความก้าวหน้าของสังคม อาการอันชัดแจ้งนั้น แสดงออกโดยวิกฤติกาลทางผลิตผลที่ท่วมท้นตลาดและกำลังซื้อตกต่ำ อันเกิดแล้วเกิดเล่าอยู่ไม่ขาด

ถึงมาตราว่า ความคิดต่าง ๆ ย่อมเกิดขึ้นแต่โดยอาศัยภาวะการณ์ทางวัตถุก็ดี แต่เมื่อความคิดเหล่านั้นได้อุบัติขึ้นแล้ว มันก็ได้บรรจุอิทธิพลของมันลงไปในการกระทำของมนุษย์ และดังนั้น ก็เท่ากับมีอิทธิพลอยู่เหนือกระแสเหตุการณ์ทั่วไปอย่างแน่นอน ความคิดที่กำเนิดจากระบอบการผลิตแบบเก่า เป็นความคิดที่ยึดเหนี่ยวอยู่กับขนบธรรมเนียมประเพณีเดิม เป็นความคิดที่จะเหนี่ยวรั้งการกระทำของมนุษย์ และด้วยเหตุเช่นนั้น ชนชั้นที่ครองอำนาจในทุกยุคทุกสมัย จึงทำทุกอย่างที่อาจทำได้ในอันที่จะสั่งสอนความคิดอันคร่ำครึเหล่านั้นแก่ประชาชน

ส่วนความคิดที่กำเนิดจากภาวะการณ์ใหม่ในการผลิตเป็นความคิดที่ก้าวหน้า เป็นความคิดที่ส่งเสริมการกระทำโดยรับเอาภาวะการณ์ใหม่ ๆ นั้นมาพิจารณาดำเนินการไปสู่ระบอบใหม่ และด้วยเหตุเช่นนั้นเอง ชนชั้นที่มีอำนาจอยู่ในสมัยนั้นจึงถือว่าความคิดจำพวกก้าวหน้าเหล่านั้นเป็น “ความคิดที่เป็นภัย” ดังเช่นความคิดที่ว่าระบอบทุนนิยมนั้นเลว เพราะว่าระบอบทุนนิยมส่งเสริมให้มีการกดขี่ขูดรีดอย่างทารุณเหี้ยมโหด เพียงเพื่อความมั่นคงสมบูรณ์ของนายทุน ส่งเสริมให้ทำลายจำนวนอาหารที่มีอยู่มากมายเสีย เพียงเพื่อจะรักษาระดับราคาอาหารมิให้ลดต่ำ ในขณะที่ประชาชนเป็นจำนวนมากอยู่ในสภาพเกือบอดตาย

ความคิดดังกล่าวนี้กลับปรากฏในทรรศนะของชนชั้นที่มีอำนาจว่าเป็น “ความคิดที่เป็นภัย” และภัยนั้นในความเป็นจริง ก็หมายถึงเพียงภัยที่ชนชั้นที่มีอำนาจจะได้รับ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงแบบการผลิตใหม่ ความคิดในรูปก้าวหน้านั้น อันที่จริงจักนำไปสู่ความคิดของการตั้งระบบการผลิตใหม่ คือเป็นการผลิตเพื่อใช้และมิใช่ผลิตเพื่อกำไร ดังนั้น จึงเป็น “ภัย” อย่างมหันต์สำหรับกลุ่มที่หวังกอบโกยเอากำไรเพื่อความมั่งคั่งส่วนตัว แต่หากหาเป็น “ภัย” แต่ประการใดไม่สำหรับมวลชน ผู้หวังความสมบูรณ์พูลสุขร่วมกันในฐานะมนุษยชาติ

จินตภาพของนักวิทยาศาสตร์แห่งประวัติศาสตร์ต่อความคลี่คลายทางสังคม ซึ่งมีชื่อว่า “ลัทธิวัตถุนิยมทางประวัติศาสตร์” (HISTORICAL MATERIALISM) จึงไม่ใช่อย่างเดียวกับ “ลัทธิ” กำหนดจิตใจของนักวัตถุนิยม (MATERIALIST DETERMINISM) ซึ่งมีทฤษฎีว่า การกระทำของมนุษย์นั้นขึ้นอยู่แก่สภาวะการณ์ทางวัตถุของตัวเขาโดยสิ้นเชิง แต่นักวัตถุนิยมทางประวัติศาสตร์มีความเห็นใปอีกทางหนึ่ง เขาเห็นว่าการกระทำของมนุษย์รวมทั้งความเปลี่ยนแปลงทางวัตถุ ที่การกระทำเหล่านั้นนำมา เป็นผลซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากสภาวะการณ์ทางวัตถุที่อยู่นอกกาย และส่วนหนึ่งเกิดจากความสำนึกของเขาเองในข้อที่จะควบคุมสภาวะการณ์ทางวัตถุได้อย่างไร

แต่มนุษย์อาจได้รับความรู้เช่นนั้นได้ ก็แต่อาศัยความชำนาญจากการสังเกตการศึกษาสภาวะการณ์ทางวัตถุนั้นเอง เขาได้ความชำนาญจากสภาวะการณ์ทางวัตถุมิใช่โดยการนั่งติดอยู่บนเก้าอี้อันแสนสบาย แต่จะได้โดยการปฏิบัติในทางผลิตเครื่องใช้ต่าง ๆ ตามความต้องการของชีวิต และเมื่อความรู้ของเขาเพิ่มพูนขึ้นเมื่อเขาคิดประดิษฐ์วิธีผลิตใหม่ ๆ ขึ้น และนำสิ่งเหล่านั้นออกปฏิบัติ เขาก็จะประสบว่า แบบที่มีอยู่เดิมในการจัดระเบียบสังคมได้กลายเป็นเครื่องกีดขวางมิให้เขาสามารถใช้วิธีการใหม่ ๆ ที่เขาคิดค้นขึ้นมาได้อย่างเต็มที่ มนุษย์ตระหนักถึงความเป็นจริงข้อนี้จากพฤติการณ์ในชีวิตของเขาเอง ดังนั้นในขั้นต้น มนุษย์จึงต่อสู้กับความคิดร้ายและเครื่องกีดขวางที่มีอยู่เฉพาะเรื่องเฉพาะราย ซึ่งแบบเก่าของการจัดระเบียบสังคมได้ก่อสร้างไว้ แต่ในเวลาต่อมา เขาก็หลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะถูกดึงเข้าไปสู่การต่อสู้ทุกทางกับระบอบที่มีอยู่เดิมทั้งหมด

มีอยู่ระยะหนึ่งที่กระแสเหตุการณ์ทั้งหมด ที่อำนวยให้กำลังการผลิตใหม่ได้คลี่คลายขยายออกมาจากระบอบเก่านั้นได้เป็นไปโดยปราศจากสำนึกและโดยไม่มีแผนการ และก็เป็นเช่นเดียวกันในกรณีการต่อสู้กับแบบเก่าของการจัดระเบียบสังคมอันดำรงระบอบเก่าไว้ คือเป็นการต่อสู้ที่ปราศจากสำนึกและแผนการ แต่ก็จะมีอยู่ชั่วระยะหนึ่งเสมอที่ความสัมพันธ์หรือระเบียบที่ชนชั้นเดิมได้กำหนดไว้ ได้ปรากฏออกให้เห็นอย่างแจ่มแจ้งว่าเป็นเครื่องกีดขวางสกัดกั้นกำลังผลิตใหม่ไม่ให้นำออกใช้ได้ผลอย่างเต็มที่ ตรงระยะนี่แหละที่การปฏิบัติของชนชั้นที่ก้าวหน้า ผู้ซึ่งถืออนาคตไว้ในกำมือของเขา ได้สำแดงออกมาด้วยความรู้สึกสำนึก

และต่อจากนี้ไป กระแสการคลี่คลายกำลังผลิตใหม่ ๆ นั้น จะไม่เป็นกระแสการคลี่คลายที่ไร้สำนึกหรือไร้แผนการอีกต่อไป มนุษย์ได้สะสมความชำนาญและความรู้ ในเรื่องกฎของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมไว้เพียงพอที่จะผ่านไปสู่ระยะข้างหน้า ในอาการอันรู้สำนึกและพร้อมด้วยแผนการเพื่อที่จะประดิษฐานสังคม และจำกัดให้การผลิตเป็นสิ่งที่ประกอบด้วยความสำนึกและแผนการ

ท่านบัณฑิตทางประวัติศาสตร์ได้กล่าวไว้ว่า

“กำลังภายนอกอันเราไม่อาจรู้สึก ที่มีอำนาจครอบงำประวัติศาสตร์ของมนุษย์สืบเนื่องกันมาจนถึงบัดนี้นั้น จะได้ผ่านเข้ามาอยู่ภายใต้การควบคุมของมนุษย์เอง จากจุด ๆ นี้เท่านั้นที่มนุษย์จะตบแต่งประวัติศาสตร์ของตนด้วยความสำนึกตระหนักอันสมบูรณ์”


การปฏิวัติแบบเพ้อฝัน

คำนี้ กำเนิดขึ้นโดยเลนินกล่าวประณามสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยบางคน ที่มีความคิดเห็นต่อการปฏิวัติเป็นทำนองเพ้อฝันหรือสร้างวิมานในอากาศ โดยพวกเหล่านี้ศึกษาแต่เพียงทฤษฎีหากไม่แปลนัยะของทฤษฎีออกเป็นการปฏิบัติ หากจะแปลนัยะออกเป็นภาคปฏิบัติบ้างก็เป็นแต่เพียงการคุยโวโอ้อวด เป็นทำนองยกตัวเองให้เด่นขึ้นในฐานะท่านผู้ทรงคุณวุฒินั้น

ในที่ประชุมที่ลอนดอนเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 1904 เลนินได้เสนอปัญหาการลุกขึ้นปฏิวัติด้วยกำลังแก่บรรดาผู้สนับสนุนของเขา และเมื่อกลับไปสู่เยเนวาแล้ว เขาก็ได้พยายามผลักดันปัญหานี้ออกไป เขาเห็นว่าระบอบซาร์ย่อมจะไม่สนใจต่อการสละราชสมบัติ เลนินว่ามันจะต้องถูกโค่นลงด้วยการลุกขึ้นปฏิวตด้วยอาวุธเท่านั้น นี่….เป็นความจริงที่นักสังคมนิยมทุกคนยอมรับกัน แต่ถึงแม้ว่าทุกคนจะยอมรับความจริงข้อนี้แล้วก็ตาม แต่บางส่วนพากันมองดูการลุกขึ้นปฏิวัติในรูปการณ์คุกรุ่นขึ้นปฏิวัติเองของมหาชน และมองดูปรากฏการณ์ขั้นมูลฐานประการหนึ่งของการปฏิวัติในแง่ที่ว่ามันเป็นไปเองอย่างแน่นอน โดยไม่จำเป็นจะต้องเตรียมการและวางแผน เช่นเดียวกับการขึ้นและตกของพระอาทิตย์

เลนินถือว่าการเข้าใจเอาง่าย ๆ เช่นนี้ของนักสังคมนิยมเหล่านั้น เป็นความเพ้อฝันแบบมิคอเบอร์ของการปฏิวัติ (มิคอเบอร์เป็นตัวลครในเรื่องของดิกเกนส์ที่มีใจกว้างขวาง) เลนินหาว่าความคิดเห็นเช่นนี้จะนำไปสู่ลัทธิฉวยโอกาสในขั้นสุดท้าย

“มันเป็นความบัดซบอย่างที่สุดในการจุดไฟปฏิวัติให้ลุกโหมขึ้นในหมู่ประชาชน แล้วผลักดันประชาชนให้ออกสู่สมรภูมิแห่งการปฏิวัติ โดยตัวผู้จุดเองนั้นกลับหลบไปยืนดูอยู่ห่าง ๆ ทางเบื้องหลังประชาชน” เลนินกล่าว

เลนินได้กล่าวเตือนอีกตอนหนึ่งว่า “การลุกขึ้นก่อการปฏิวัติจะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อทำการรุกอยู่ตลอดเวลาเท่านั้น และการรับก็หมายถึงความหายนะ” และนอกจากนี้เขายังได้เร่งเร้าให้ผู้สนับสนุนเขาจัดตั้งแผนกพิเศษแบบทหารขึ้นในพรรค

จากข้อเสนอแนะของเลนิน โคบา (สตาลิน) ได้นำมากล่าวไว้ในโปรเลตาเรียดิสบรดซอล่า หลังจากที่เขาได้ปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของเลนินแล้วว่า

“บัดนี้ องค์การจัดตั้งของเราหลายแห่งได้แก่ปัญหาทางด้านปฏิบัติเรียบร้อยแล้ว และกำลังมุ่งใช้กำลัง ภาระหน้าที่ปัจจุบันก็คือการติดอาวุธทางทหารให้แก่ชนชั้นกรรมาชีพ การต่อสู้ของเรากับระบอบอภิสิทธิชนไปถึงขั้นที่ทุกคนยอมรับแล้วว่า การติดอาวุธให้ตนเองนั้นจำเป็น แต่ว่าการรับรู้ความจำเป็นเท่านั้นยังไม่เพียงพอ ภาระกิจทางด้านปฏิบัติควรจะนำออกมาแผ่ขยายกันอย่างกว้างขวางต่อหน้าพรรค คณะกรรมการของเราควรจะออกไปดำเนินการติดอาวุธ จัดตั้งโรงงานสำหรับตระเตรียมวัตถุระเบิดทุกประเภทและเตรียมวางแผนการเพื่อยึดบรรดาคลังอาวุธคลังแสงของรัฐบาลและเอกชนทุกแห่ง…….. การทะเลาะเบาะแว้งระหว่างกลุ่มย่อยต่าง ๆ อย่างน้อยที่สุดควรจะได้รับการขัดขวางด้วยการรวมกำลังสมาชิกสังคม–ประชาธิปัตย์ ทุกคนเข้ามาเพื่อการนี้”

One thought on “ความคิดทางชนชั้นกับการปฏิวัติแบบเพ้อฝัน

Leave a comment